25 พ.ค. 2022 เวลา 16:28 • ปรัชญา
เรื่องราว ของกรรมทั้งนั้น ที่จัดสรรให้เราต้องพบเจอะเจอกัน กรรมนั้นเป็นเหมือนโซ่ เป็นเหมือนแม่เหล็กที่จะดึง บ่วงกรรม กรรมที่เราเคยกระทำไว้ ให้ได้มาชดใช้กรรม เหมือนเรา เคยใช้อารมณ์ ติเตียนคนนั้นคนนี้ มันก็ต้องมีคนติเตียนเราเหมือนกัน
เมื่อเราไม่ไปใช้อารมณ์ติเตียนใคร อารมณ์เหล่านี้มันก็ไม่เกิดที่เรา เราก็ไม่มีกรรมไป ผูกสิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต มันก็ไม่ไปดึงดูดอะไรให้เข้ามาสู่ ให้จิตมันหนัก ต้องมีภาระ ..ด้วยอารมณ์ที่จะเกิดขึ้น ปรุงแต่งไปเรื่องราวต่างๆมากมาย เหมือนต้นไม้ ที่แตกใบมากมาย ..แล้วมันล่วงลงไป ด้วยแรงที่ดูดลงสู่พื้นดิน
แรงของกรรม..นั้นแหละที่กดทับจิต ที่มีอารมณ์ปรุงแต่ง ให้จิตนั้นใช้กายไปตามอารมณ์ ไปดึงดูดเข้าหาสิ่งที่ตนชอบ สิ่งตนยึดถือ เป็นนิสัยกรรมของเราเอง โดยที่เราไม่เคย จับมันมาพลิกดู ..ว่าที่แท้จริง สิ่งที่เกิดขึ้นกับจิตของตน ที่อาศัยเรือนกายนี้อยู่ทำไม ถึงเป็นเช่นนั้น ..แล้วก็มีทฤษฎี..อะไรขึ้นมามากมาย ..ทำไม..ไม่ค้นคว้าในกายตน ..
เรื่องราวของคำว่ากรรม ..มันไม่ใช่..ว่าพูดแล้ว เราก็จดจำแต่คำว่ากรรม เราก็ต้องศึกษาเข้าไปให้ถึงอีก ให้เข้าใจไปถึงจิต..ทำไม เค้าถึงเรียกว่าจิตมีกรรม กรรมนั้นมีลักษณะอย่างไรบ้าง ..มันต้องทำไปให้ถึง ไม่เช่นนั้น. ได้แต่ฟังเค้าว่า กรรม..ๆ
เรื่องกรรมมันต้องศึกษาจริงๆ มันก็เป็นประโยชน์ต่อจิตของเราเองทั้งนั้น เพราะเราจะได้แก้ไข ให้จิตเราเป็นสุข ไม่ใช่สุขของอารมณ์เดี๋ยวเดียว แล้วยึดจดจำหลงใหลว่าเป็นสุข สุขที่ต้องมีอารมณ์ปรุงแต่ง หลอกว่าเป็นสุข
เรื่องราวของอารมณ์ที่ผุดขึ้นมานั้นกาย มีความรู้สึกนึกคิด ให้จิตเรายึดถือ เป็นตัวเป็นตน เรื่องราวของสิ่งที่ไหลออก เรื่องราวของวิญญาณหก ที่สัมผัส เรื่องราวราวของแรงกด แรงดัน แรงดึงดูด ..ที่ดูดจิตให้เข้ายึดอารมณ์ มันมีเรื่องราวมากมาย ภายในเรือนกาย ที่อารมณ์..นั้นจะปรุงแต่ง ให้จิตนั้นเป็นทาสของอารมณ์ตลอดเวลา โดยที่จิตไม่รู้สึกตัวเลย แล้วเราก็ไม่สามารถเข้าใจ ในสิ่งที่ ท่านว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
โฆษณา