27 พ.ค. 2022 เวลา 00:00 • กีฬา
[ #ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ]
เรอัล มาดริดประกาศรายชื่อ 26 นักเตะที่จะลงทำศึกนัดชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกกับลิเวอร์พูลที่กรุงปารีส ในวันเสาร์นี้ออกมาเรียบร้อย
ปรากฏว่าเซอร์ไพรส์เล็กๆ เพราะเราได้เห็น แกเร็ธ เบล ร่วมขบวนชุดนี้ด้วย
แฟนบอลมาดริดหลายคนไม่ต้องการดาวเตะเวลช์อีกต่อไปแล้ว ขับไสไล่ส่งมาพักใหญ่ ท่ามกลางเสียงสวดสาปแช่งว่าเป็นพวกกาฝากคอยเกาะกินสูบเลือดเนื้อสโมสร
เบล รับค่าจ้างมหาศาลกว่านักเตะทุกคนมาดริดทุกคน ใกล้เคียง 500,000 ยูโรต่อสัปดาห์ แต่กลับไม่ได้ตอบแทนอย่างคุ้มค่าสักนิด
อย่างไรก็ตามเคสนี้ แฟนบอลทีมอื่นไม่ค่อยเห็นด้วยนัก เพราะตัวนักเตะก็ถูกปฏิบัติอย่างไม่เหมาะสมเช่นเดียวกัน เรื่องนี้มีการถกกันบ่อยแล้ว ต่างฝ่ายต่างมุมมอง
กระนั้นต้องยอมรับว่านับตั้งแต่ คาร์โล อันเชล็อตติ เข้ามากุมบังเหียนเมื่อซัมเมอร์ที่แล้ว สถานการณ์อันตึงเครียดดูผ่อนคลายพอสมควรเลย
แม้จะมีนักข่าวหรือคอลัมนิสต์บางคน จ้องเล่นงาน เบล มากเป็นพิเศษ ทว่ากระแสไม่ค่อยรุนแรงเท่าไรนัก หากเทียบยุค ซีเนดีน ซีดาน เป็นนายใหญ่
ว่ากันตามตรง ซีดาน อาจเงียบขรึม ไม่พูดอะไรมาก แต่พอมองออกว่าไม่ต้องการเก็บ เบล ไว้ใช้งานหรืออยู่ในแผนเพื่ออนาคตอีกต่อไป พยายามอย่างยิ่งจะให้ ฟลอเรนติโน่ เปเรซ หาทางเขี่ยออกจากทีม
แต่ความเป็นจริงมันไม่ง่ายอย่างนั้น เต็มที่คือส่งไปให้ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ต้นสังกัดเดิมยืมตัว ก็ยังไม่อาจสร้างความประทับใจเหมือนในอดีต ดีลเซ็นถาวรเลยไม่เกิดขึ้น ต้องระเห็จกลับมามาดริดอีกรอบ
เบล ดูเหยาะแหยะไม่จริงจังตั้งใจยามสวมเสื้อสโมสร ทว่าพอเปลี่ยนเป็นยูนิฟอร์มทีมชาติแล้วกลายเป็นคนละคน
ตรงนี้เองที่แฟนมาดริด ต่างพุ่งเป้าเข้ามาโจมตีด้วยความโกรธแค้น ยิ่งเมื่อเห็นนักเตะทำตัวชิลด์ๆ แล้วรับเงินค่าจ้างมหาศาลในแต่ละวีก มันทวีความเจ็บใจหนักกว่าเดิมอีก
อันเช่ เองน่าจะพอรู้อยู่แล้วว่า เบล ไม่ได้เป็นที่ต้องการของแฟนบอล เล่นไปแบบซังกะตาย ให้สัญญาหมดแล้วค่อยย้ายแบบฟรีเอเจ้นท์
ครั้นจะมาปลุกเร้าให้นักเตะเกิดความฮึกเหิม เรียกฟอร์มเก่งกลับคืนมาเหมือนวันเก่า คงยากแล้ว สถานการณ์มันเลยเถิดเกินกว่าจะย้อนไปแก้ไข
สิ่งที่กุนซืออิตาเลี่ยนทำ ไม่ใช่ตัดหางปล่อยวัด ปล่อยไปตามยถากรรมไม่ดูดำดูดี เขากลับเลือกปฏิบัติตามปกติ ไม่มีเส้นคั่นในความสัมพันธ์
เราจึงได้เห็นภาพอย่างเช่น เขาเดินคุยกระหนุงกระหนิงรอยยิ้มฉาบใบหน้ากับ เบล ในระหว่างฝึกซ้อม ซึ่งแทบไม่เคยเจอเลยในยุคของ ซีดาน
ไม่ได้มีเจตนาชี้ว่า ซีดาน เป็นบอสที่ไม่เหมาะสม แต่กุนซือแต่ละคนมีวิธีการบริหารจัดการลูกทีมที่แตกต่างกันออกไป
1
สำหรับ อันเช่ มักจะยืนเคียงข้างลูกทีมเสมอ ยึดถือแนวทางเรื่องความสัมพันธ์เป็นหลัก ห้องแต่งตัวคือจุดเริ่มต้นสำคัญ หากบรรยากาศดี ทีมสปิริตแข็งแกร่ง ย่อมส่งผลต่อในสนามแน่นอน
เขาจะเดินเข้าหานักเตะแบบรายตัว พูดคุยทำความเข้าใจ เพื่อหาข้อมูลต่างๆแล้วมาวิเคราะห์ใช้อย่างเหมาะสม
แน่นอนว่าการทำงานในสโมสรชั้นนำของยุโรป เต็มไปด้วยดาวดังมากมาย ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะบริหารให้เกิดความสมดุลลงตัว
แค่จับบางคนนั่งสำรองหรือเปลี่ยนตัวออก บางครั้งก็ต้องรับมือกับอารมณ์ฉุนเฉียวไม่พอใจแล้ว
เพราะรู้ว่าปัญหาเหล่านี้ต้องเกิดขึ้น อันเช่ จึงแก้ไขด้วยการเสริมสร้างความสัมพันธ์แบบเข้าถึงจริง ไม่ใช่คุยแบบฉาบฉวย
ว่ากันว่าเขาใช้เวลาอยู่กับนักเตะในแต่ละวัน เพื่อพูดคุยเรื่องราวต่างๆหลายชั่วโมง พร้อมทั้งให้คำแนะนำอย่างดีเสมอมา
จุดแข็งของ อันเช่ คือบารมีที่แกร่งกล้า สั่งสมมาตั้งแต่สมัยค้าแข้ง เป็นผู้เล่นชั้นนำ ถูกยอมรับในวงกว้าง พอมาเป็นกุนซือแล้วยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก คุมสโมสรใหญ่ๆ ร่วมงานกับแข้งตัวท็อปมากมายและเราแทบไม่เคยได้ยินมีปัญหาเลย
1
นั่นจึงเป็นที่มาของสมญา "The Diva Whisperer" ที่ถูกเรียกขาน จากคุณสมบัติอันชาญฉลาด สามารถเข้าถึงทุกคนได้ ไล่ตั้งแต่บอร์ดบริหารลงมาถึงกลุ่มนักเตะ
1
เขาปกครองลูกทีมตัวเองได้อย่างดี ได้รับการเคารพยกย่องสมฐานะผู้เป็นบอส ในขณะเดียวกันฝ่ายบริหารก็ยำเกรง เพราะรู้ถึงความสามารถของกุนซือผู้นี้ดี
สังเกตว่า อันเช่ ไม่ต้องพูดเยอะหรอก เวลาคุมทีมข้างสนาม เพราะผ่านการพูดคุยทำความเข้าใจมาเรียบร้อยแล้ว พร้อมทั้งยืนยันว่าความเงียบขรึมคืออีกแนวทางที่นำมาใช้ในการบริหารและมันก็ได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ
1
ด้วยเหตุนี้ แกเร็ธ เบล จึงได้รับการปฏิบัติอย่างดี นั่นทำให้บรรยากาศในทีมดีขึ้นอีกต่างหาก
1
เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา เบล ซึ่งฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ มีชื่อเป็นสำรองในเกมลาลีกาดวลเกตาเฟ่ ก่อนจะถูกส่งมาเล่นใน 16 นาทีสุดท้าย
พอเห็น เบล โจนสู่สนามเท่านั้นเอง เสียงโห่จากแฟนบอลราชันชุดขาวก็ดังขรมไปหมด จบเกมมาดริดเฆี่ยนนิ่ม 2-0 แต่กองเชียร์ก็ยังไม่ค่อยพอใจนัก
แน่นอนว่าในเพรสคอนเฟอเรนซ์ บรรดานักข่าวพร้อมตั้งคำถามกับ อันเช่ เรื่องนี้อยู่แล้ว มีเหตุผลอะไรถึงส่งดาวเตะเวลช์ ผู้ซึ่งควรเป็นส่วนเกินของทีมลงมา
"เขามีความเป็นมืออาชีพและฟิตมากพอที่จะลงสนามได้ นั่นคือเหตุผล"
คำตอบถือว่าชัดเจนดีแล้ว ไม่ต้องอ้อมค้อมให้เสียเวลาเลย ที่สำคัญ เบล ไม่ได้ทำให้ทีมเสียหายพ่ายแพ้เลย พยายามตั้งใจทำงานอย่างเต็มกำลัง
ที่สำคัญคงได้ยินเสียงเจ้านายตอบคำถามนักข่าว เพื่อปกป้องเขาว่ามีความเหมาะสมที่จะได้รับโอกาสดังกล่าว
ถัดจากเกมนั้น เบล ยังมีชื่ออยู่ข้างสนามนัดบุกเซบีย่า แต่ไม่ได้ถูกเปลี่ยนลงมา แล้วก็บาดเจ็บยาวที่บริเวณแผ่นหลัง จนเกมลีกนัดสุดท้ายของฤดูกาลซึ่งเสมอเรอัล เบติสแบบจืดชืด
เพราะเหตุนี้แหล่ะเลยไม่มีใครคาดคิดว่า เบล จะถูกบรรจุชื่อไว้เป็น 1 ใน 26 แข้งชนลิเวอร์พูลในไฟนั่ลสำคัญสุดๆวันเสาร์ที่จะถึง
โอกาสที่ เบล ได้สัมผัสเกมไม่ว่าจะตัวจริงหรือสำรอง มีน้อยอย่างมาก ซึ่งหากเป็นอย่างว่าคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย
แต่การที่ อันเช่ เลือกหนีบแข้งรายนี้ไปปารีสด้วยกัน มันหมายถึงให้ความสำคัญ ไม่เคยคิดมองข้ามเลย ต่อให้จะเป็นที่เกลียดชังของแฟนบอลมากขนาดไหน
อย่างน้อยที่สุดเมื่อสิ้นเสียงนกหวีดสุดท้ายที่พาร์ค เดอ แพร็งซ์แล้ว เบล เองก็จะได้เก็บความทรงจำดีๆไว้เช่นกัน
นี่คือแนวทางที่ อันเช่ นำมาใช้และคงยึดมั่นต่อไปอยู่เสมอ มันมีแต่ได้กับได้ ไม่เสียหายอะไรเลย ต่อให้มีเสียงแฟนบอลต่อต้านบ้างก็ตาม
ที่สำคัญต้องไม่ลืมด้วยว่านัดชิงปี 2018 เบล นี่แหล่ะคือฮีโร่ตัวจริง
.
ทุกท่านสามารถติดตามอ่านบทความย้อนหลังได้ที่ ..
.
และเพิ่มเพื่อนไลน์แอด "เพื่อเด้งเตือน" ให้คุณได้อ่านก่อนใคร กดที่ลิงค์นี้ครับ
ขอบคุณครับ
โฆษณา