27 พ.ค. 2022 เวลา 05:24 • ปรัชญา
เมื่อมีคำถามนี้เกิดขึ้นมา ในจิตใคร..ก็ต้องสืบค้น ที่จิตของตัวเองว่า เรามีร่องรอยของการประพฤติปฏิบัติธรรม ให้ไปถึงจุดคำว่าพระนิพพาน ตามที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านตรัสไว้หรือมั้ย ..เมื่อเรายังทำไม่ได้ ทำไม่ถึง อารมณ์นึกคิดของเรานั้น ที่เราก็ไม่รู้จักว่ามันมาจากไหน จึงมาเกิดในกายเรา พอนึกถึงคำว่าพระนิพพาน อารมณ์มันก็อุปโลกน์ให้ สมมุติให้เกิดทิฐิความคิดเห็น ในเรื่องนั้น แต่เราก็ไม่สามารถรู้ได้จริง
เรื่องราวของพระพุทธศาสนา มีการศึกษาหลากหลายรูปแบบแล้วแต่จิต แล้วแต่นานานิสัยที่สะสมมา ได้เกิดพบพระพุทธศาสนา บ้างก็ผ่านไปเลยไปเฉย ก็มีมากมาย บ้างก็ศึกษา..คิดว่าจะทำให้ร่ำรวยเงินทองยศฐานบรรดาศักดิ์ บ้างก็ท่องค้นคว้าคำภีร์ อีไหนถูกอีไหนผิด อีไหนถูกใจอีไหนไม่ถูกใจ อีไหนเป็นวิทยาศาสตร์ อีไหนไม่ใช่
บ้างก็ว่าต้องปฏิบัติแบบนี้ บ้างก็เอาคาถาอาคม มาท่องบ่นให้มีฤทธิ์มีเดช บ้างก็ว่าต้องทำสมาธิแบบนี้ เดินแบบนี้ นอนแบบนี้ เมื่อใช้ตาไปมองหูไปฟัง มันก็เรื่องก็..ไปพัวพันในสิ่งเหล่านี้ ไปกระทบแล้ว..เห็นแล้วมันก็เกิดอารมณ์ นึกคิดอะไรต่างมากมาย ตามแต่จริตของคนผู้นั้น
มันจึงไม่สามรถย้อนกลับไป ว่าที่แท้จริง ผู้คนในยุคต้นศาสนา เค้าประพฤติปฏิบัติธรรมกันอย่างไร รอยขององค์พระสิทธัตถะ ที่หนีจากเวียงวัง ท่านไปนั่งกลาง ท่านทำอย่างไร กับการไปอยู่ป่าของท่าน เมื่อกาลเวลาผ่านมานาน ผู้คนก็เกิดๆตายๆกันไปไม่รู้จักกี่รุ่นอายุขัย เพราะฉะนั้น ..การเสาะแสวงหาหารอยของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติธรรม ตามรอยองค์พระสิทธัตถะ ที่ท่านเป็นแบบอย่างย่อมหาได้ยากยิ่ง..
เพราะฉะนั้น ในเรื่องราวของคำว่าพระนิพพาน จึงเป็นเรื่องราวของคนจริง คนที่ประพฤติปฏิบัติไปตามคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านสามารถกระทำได้จริง ที่เค้าเรียกว่า นิโรธสมาบัติ คือ ถอดจิต ทิ้งกายไป ออกไปแต่จิต .ออกไปดูสถานที่ต่างๆ
แม้แต่เรื่องราวของคำว่านิโรธสมบัติ นั้นก็ยังยากที่จะกระทำได้จริงๆ เพราะมันเหมือนยกเรื่องคำว่าขันธ์ห้าออกไปจากจิต หรือ ยกขันธ์ห้าออกไปจากจิต ไม่ใช่มัวนั่งพิจารณาขันธ์ห้ามีอะไรบ้าง แล้วจิตที่ไม่มีบุญกุศลบารมีพอเพียงที่จะหนุนนำไปถึงจุดนี้ ก็ไม่สามารถกระทำได้เลย
เค้าทำสมาธิ..ยกขันธ์ห้าออกไปจากจิต หรือละลายขันธ์นั้นออกไปก่อน ถึงเข้านิโรธสมาบัติได้ ใจนั้นก็เหมือนจะขาดจะตายก็ต้องปล่อยวางให้ได้ มันจะตายก็ชั่งมัน ซึ่งต้องมีสติสัมปชัญญะตลอดในการประพฤติปฏิบัติ จิตเข้าจะไปของเค้าเอง ซึ่งตรงนี้มันก็เป็นเรื่องที่ยากอธิบาย ว่าจิตนั้นออกไปได้อย่างไร
จิตที่ท่านมีบุญบารมีมากๆ เหมือนจะไปดวงอาทิตย์ เพียงแค่กระพริบตาก็ถึงแล้ว นั่นเป็นเรื่องราวของผู้ที่มีบารมีมากๆ แม้เรื่องราวของมนุษย์..ไม่ใช่มนุษย์โลก เค้ามีอีกมิติหนึ่งเหมือนกัน มนุษย์หน้ากลม เหมือนพระจันทร์อย่างนี้ เค้าก็มี ..เค้าก็เป็นจิตดวงหนึ่ง ที่ต้องมาเกิดในโลกมนุษย์เหมือนกัน เกิดมาสร้างบุญกุศลบารมี หนีกรรมเหมือนกัน
เรื่องราวพวกนี้ ..ถ้าเราไม่สะสมบุญกุศลบารมี ไม่มีโอกาสที่เรียนรู้ ประพฤติปฏิบัติตามรอยคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทางที่เดินนั้น เหมือนแก้วขัดเงา จิตไม่ดีทำไม่ดี ก็ลื่นหกล้ม เดินไม่ได้เลย
เพื่อศึกษาเรื่องภพภูมิ เรื่องราวของจิตที่ไปอยู่ตรงนั้นตรงนี้ นรก สัตว์ เปรต อสุรกาย เทพยดา อินทร์ พรหม จิตที่ถอดจิตไปได้ ไปศึกษาตรงนั้นตรงนี้ได้ ก็ขึ้นอยู่กับบุญบารมีอีกเหมือนกัน
คำว่าบุญบารมีนี้หมายถึง ความละเอียดละออของจิต ที่สามารถผ่านมิติที่ละเอียดๆนั้นไปได้ ด้วยบารมี ที่เป็นเหมือนเครื่องกรองที่ละเอียด ให้จิตนั้น ผ่านไปได้หรือไม่ได้ . เรื่องภพภูมิ ท่านก็มีผู้เปรียบเทียบให้ฟังว่าว่าภพภูมิ นั้นเหมือนผ้าที่พับทับกันเป็นชั้น ชั้นบนสุดก็สว่างไสว ก็ไล่ลงไปเป็นชั้น ภูมิมนุษย์เป็นชั้นกลาง ต่ำลงไป ก็เป็นอบายภูมิ เค้าก็ได้แต่อุปมาให้ฟัง จะเรียกว่าสมมุติอุปโลกน์ให้ฟังก็ได้
กลับมาที่เรื่องของผู้ที่ที่ถอดจิต เรื่องรางของการศึกษาภพภูมิ ท่านก็ได้ไปศึกษาไปดูสถานที่ตัดสิน .สถานที่อะไรมากมาย เรื่องราววิมานของเทพองค์นั้นองค์นี้ ตลอดจนไปเรื่ิงของพระนิพพาน ที่ต้องถอดจิต ถอดแล้วถอดอีก จนเป็นแก้ว นั้นแหละถึงจะไปได
และแต่ละสถานที่ก็มีผู้เฝ้าประตูอีกเหมือน ที่มีกฎมีระเบียบ กฏเกณฑ์ผู้นี้เข้าได้หรือไม่ได้ ไม่ใช่อยากจะเข้าไปก็เข้าไป เค้าไม่ให้เข้า ก็ถูกลงโทษ ก็เหมือนเมืองมนุษย์เหมือนกัน เจ้าของบ้านไม่ให้เข้า ถ้าเข้าไปเค้าก็เห็นว่าเป็นโจรหรือไง
เมื่อจะศึกษาเรื่องราวเหล่านี้ให้รู้ขึ้นด้วยจิตของตน ก็ต้องศึกษาประพฤติปฏิบัติ ไปตามรอยคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะท่านเป็นผู้ที่ตรัสเรื่องนี้ รอยของผู้อื่นไปไม่ได้เลย
โฆษณา