2 มิ.ย. 2022 เวลา 01:58 • หุ้น & เศรษฐกิจ
Howard Marks นักลงทุนชื่อดัง เพิ่งออก Memo มาให้เราได้เรียนรู้กัน
ผมขอสรุปให้ดังนี้
✅ จากคำพูดสุดคลาสสิคของ Mark Twain ที่บอกว่า “History doesn’t repeat itself, but it does rhymes” เขาเชื่อว่าเหตุการณ์ต่างๆในตลาดหุ้นจะไม่เกิดขึ้นเหมือนกับเหตุการณ์ในอดีต แต่เขากลับเชื่อว่าส่วนที่เหมือนกันคืออารมณ์ของนักลงทุนที่มีส่วนกำหนดราคาหุ้นอย่างมากเลยทีเดียว
✅ เขาอธิบายว่าตลาดหุ้นมีรูปแบบที่ราคาปรับขึ้นหรือลงเยอะเกินไป แล้วก็จะตามมาด้วยการปรับตัวเข้าหาจุดที่เหมาะสม เขายกตัวอย่างตอนที่ราคาหุ้นขึ้นเร็วกว่ากำไรของบริษัท จนทำให้ราคาของมันเกินกว่ามูลค่าที่เหมาะสม หลังจากนั้นเมื่อสภาพแวดล้อมในการลงทุนเปลี่ยนแปลงไปอย่างเช่นช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น นักลงทุนเกิดความผิดหวัง
มีความกลัวกันมากขึ้น ราคาจึงปรับตัวลดลงมามากเกินไป เนื่องจากความกลัวที่เต็มพิกัด มันจะลงจนถึงระดับหนึ่งซึ่งมีผู้กล้าชอบหุ้นถูกเข้าไปช้อนหุ้น จึงทำให้ราคาปรับตัวขึ้นใหม่ได้อีกครั้ง
เขามองว่าการที่ตลาดมีการปรับตัวสูงเกินมูลค่าไปมากหรือราคาลดลงต่ำกว่ามูลค่าเกินไป สามารถอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดในช่วงโควิดได้เป็นอย่างดี
✅ เขาพูดถึงจิตวิทยาการลงทุนในตลาดกระทิง เขามองว่าตลาดกระทิงมีอยู่สามเฟส ในเฟสแรกก็คือมีไม่กี่คนที่มองไปข้างหน้าแล้วคิดว่ามันจะดีขึ้น ในเฟสที่สองก็คือนักลงทุนส่วนมากเชื่อว่าตลาดจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและเฟสสุดท้ายคือทุกคนสรุปว่าตลาดมันจะดีขึ้นไปอย่างต่อเนื่องไม่มีวันสิ้นสุด
สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับจิตวิทยาการลงทุนในตลาดกระทิงก็คือคนส่วนมากที่ซื้อราคาแพงเพราะว่ามันมีสัญญาณอะไรบางอย่างที่ดีที่จะเกิดขึ้นในอนาคต นักลงทุนส่วนมากก็เลยมองโลกในแง่ดีเกินไป โดยมีคนเพียงส่วนน้อยที่มองว่ามันดีเกินไปและราคามันได้นำผลตอบแทนในอนาคตเข้ามาคิดคำนวณแล้ว ตลาดน่าจะปรับตัวลดลง
✅ เขามองว่าในช่วงโควิดที่ตลาดปรับตัวลดลงไปเพียงไม่กี่เดือนหลังจากนั้นก็ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วซึ่งหลายคนก็สงสัยว่าในเมื่อสภาพแวดล้อมเกิดวิกฤติไม่น่าดีต่อเศรษฐกิจแต่ทำไมหุ้นขึ้น จริงๆแล้วมันไม่ได้มาจากพื้นฐานผลประกอบการที่ดีขึ้นของบริษัทจดทะเบียนเลยหรือไม่ได้มาจากจิตวิทยาการลงทุนที่มองในแง่บวก
แต่จริงๆแล้วมันมาจากพลังเงินของธนาคารกลางของอเมริกาที่อัดเข้าไปในระบบและดอกเบี้ยที่ต่ำเตี้ยติดดินมันทำให้ลงทุนไม่อยากเก็บเงินสดไว้เฉยๆเพราะจะทำให้มันด้อยค่า เลยนำมาลงทุนในตลาดหุ้น
ตลาดกระทิงในปี 2020 จริงๆแล้วเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประสบการณ์ของเขาเลย เพราะว่ามันไม่มีเฟสแรกของตลาดกระทิงและมีเฟสที่สองเพียงแค่เล็กน้อย นักลงทุนส่วนมากเริ่มต้นจากความสิ้นหวังในช่วงปลายเดือนมีนาคมและกลับมามองในแง่บวกมากตอนช่วงปลายปี
เหตุการณ์นี้เป็นเครื่องเตือนใจที่ดีให้กับนักลงทุน มันคงเป็นการผิดพลาดครั้งใหญ่ถ้าเราคิดว่าตลาดหุ้นจะเกิดซ้ำรอยกับประวัติศาสตร์ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว
✅ ตลาดกระทิงมักจะเกิดเมื่อนักลงทุนมีความเชื่อว่าบางธุรกิจสามารถที่จะการันตีได้ว่าจะมีอนาคตที่สดใส เขาอ้างถึงวิกฤตที่เรียกว่า Nifty-Fifty ที่มีบริษัทที่มีการเติบโตสูงในช่วงปี 1960 ไม่ว่าจะเป็นบริษัททำดิสท์ เทเลคอม และอีคอมเมิร์ซในปี 1999
หุ้นเหล่านี้ถูกเชื่อว่าราคาจะถูกผลักดันปรับตัวขึ้นไปด้วยความสามารถที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงโลก แม้ว่าสุดท้ายแล้วตัวจะเปลี่ยนแปลงโลกจริงๆแต่ด้วยราคาที่สูงมากในช่วงที่ผ่านมาเลยทำให้ราคาปรับตัวลดลงอย่างหนัก
✅ ในช่วงโควิดหุ้นเทคโดยเฉพาะในกลุ่ม FAAMG ได้สร้างแรงกระเพื่อมทางบวกให้ตลาด จึงได้มีหุ้นไอพีโอสำหรับหุ้นในกลุ่มนี้จำนวนมาก เขาได้อ้างถึง SPAC ที่เข้าตลาดมาเพื่อไปซื้อกิจการอื่นในช่วงโควิดเป็นที่นิยมมาก ตัวเลขของ SPAC ในปี 2013 มีเพียงแค่ 10 บริษัทแต่ในช่วงปี 2021 มีจำนวนสูงถึง 613 บริษัท เมื่อความต้องการสูงจึงผลักดันให้ราคาหุ้นสูงขึ้นไปเกินกว่ามูลค่าที่เหมาะสม
1
ถ้าคุณถือหุ้นในกลุ่มนี้ตั้งแต่ช่วงปี 2020 แล้วหุ้นกลุ่มนี้สามารถที่จะซื้อกิจการได้สำเร็จตามเป้าหมายราคาที่คุณเคยซื้อที่ 10 ดอลลาร์วันนี้จะเหลือเพียงแค่โดยเฉลี่ย 5.25 ดอลล่าร์เท่านั้น
✅ ในช่วงตลาดขาขึ้น นักลงทุนนิยมกู้เงินมาลงทุนกันมากขึ้น การกู้เงินมาลงทุนช่วยทำให้ได้กำไรมากขึ้นรวมทั้งทำให้ขาดทุนมากขึ้นเช่นกัน ในช่วงตลาดกระทิงนักลงทุนมีความมั่นใจเลยไม่ได้สนใจว่าจะขาดทุน สิ่งที่แย่ที่สุดสำหรับน่าลงทุนก็คือการกู้มาลงทุนในช่วงที่ตลาดกำลังพีค เมื่อตลาดปรับเปลี่ยนมาเป็นขาลง มันจะเกิดหายนะกับนักลงทุน
1
✅ จริงๆแล้วความสามารถของนักลงทุนในการรับรู้ข่าวสารที่เป็นบวกและเป็นลบมันขึ้นอยู่กับการที่ข่าวสารนั้นนั้นจะโดนเผยแพร่อย่างไรและขึ้นอยู่กับอารมณ์ของผู้รับด้วย
ในช่วงตลาดกระทิงเมื่อปีที่แล้วนักลงทุนในหุ้นเคยพูดว่าพวกคุณจะต้องซื้อหุ้นที่จะต่อจากนี้ไปเป็น 10 ปี มันมีโอกาสที่กำไรจะเติบโตอย่างมาก แต่หลังจากที่ตลาดปรับตัวลดลงอย่างหนัก กลับมาพูดว่าการลงทุนที่ขึ้นกับโอกาสในอนาคตมีความเสี่ยงมากเกินไปพวกเราควรจะต้องยึดในหุ้นคุณค่าที่มีราคาที่เหมาะสม
อีกตัวอย่างหนึ่งคือในช่วงที่มีการพาดหัวข่าวหุ้นไอพีโอที่ยังไม่มีกำไรในช่วงที่ตลาดกำลังขึ้นหลายคนพูดว่ามันไม่มีอะไรที่ผิดแปลกไปสำหรับบริษัทที่ยังไม่มีกำไรพวกเขาต้องใช้เงินในการที่จะขยายธุรกิจออกไปอย่างรวดเร็ว แต่ในตอนช่วงที่ตลาดตกอย่างหนักพวกเขากลับพูดว่าใครมันจะไปลงทุนในหุ้นที่ยังไม่มีกำไรมันคือหุ้นที่เผาเงินชัดๆ
ทั้งหมดนี้ก็เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดว่าราคาหุ้นที่จริงแล้วไม่ได้ขึ้นอยู่กับพื้นฐานเท่านั้น แต่มันขึ้นอยู่กับการที่นักลงทุนมีมุมมองอย่างไรกับพื้นฐานนั้น
ถ้ามีมุมมองดีก็จะผลักดันราคาให้สูงขึ้นไปเกินมูลค่าที่เหมาะสมได้ แต่ถ้ามีมุมมองร้าย ก็สามารถกดดันราคาให้ต่ำกว่ามูลค่าที่เหมาะสมได้เช่นกัน
✅ หุ้นที่ขึ้นไปเยอะๆก็ต้องมีการปรับตัวลดลงมา ยิ่งมันขึ้นไปมากเท่าไหร่ตอนลงมันยิ่งลงแรงเท่านั้น เขายกตัวอย่างของกองทุนหุ้นเทครายหนึ่งที่โด่งดังในช่วงปี 2020 สามารถสร้างผลตอบแทนได้ถึง 157%
ผู้จัดการกองทุนโด่งดังมาก แต่หลังจากนั้นในปี 2021 กองทุนปรับตัวลดลง 23% และลงไปอีก 57% ในปีนี้ ถ้าคุณลงทุน 100 ดอลล่าร์ในตอนสิ้นปี 2019 จะได้เป็น 257 ดอลล่าร์ในตอนสิ้นปี 2020 และจะลดลงเหลือเพียง 85 ดอลล่าร์ในวันนี้
เพราะฉะนั้นนักลงทุนต้องระวังอย่าไปไล่ซื้อหุ้นที่มีราคาอยู่ในช่วงขาขึ้นเพราะเมื่อมันลงคุณจะเจ็บตัวมากกว่าคนอื่น
✅ สุดท้ายเขาได้กล่าวว่าตอนที่หุ้นมันปรับตัวขึ้นเยอะๆนักลงทุนต่างเชื่อว่ามันมีสิ่งใหม่ๆซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน มองหุ้นในแง่ดีมากจนทุกคนต่างเชื่อว่าไม่มีราคาที่สูงเกินไป ราคาที่ซื้อเป็นราคาที่เหมาะสม มันจะขึ้นไปถึงระดับหนึ่งซึ่งเป็นระดับที่ราคาไม่มีความมั่นคงและเมื่อมีเหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้นอย่างสงครามในรัสเซีย ราคามันก็จะดิ่งเหวลงมาอย่างรวดเร็ว
ซึ่งสินทรัพย์ที่ขึ้นไปเยอะมากที่สุดเมื่อตอนลงมามันก็จะสร้างประสบการณ์อันเจ็บปวดมากที่สุดเช่นกันให้กับนักลงทุน
โดยสรุปผมได้เรียนรู้หลายอย่างในบทความนี้จากนักลงทุนที่มีชื่อเสียงระดับต้นๆของโลก สิ่งที่เขาพยายามสอนเราก็คือสาเหตุของการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น นอกจากพื้นฐานแล้วก็คืออารมณ์ของนักลงทุน ซึ่งถ้านักลงทุนอารมณ์ดีมากๆ มันก็สามารถทำให้หุ้นขึ้นไปเกินกว่ามูลค่าที่เหมาะสมได้ ในทางตรงกันข้ามหากนักลงทุนมองเร็วร้ายมาก มันก็กดดันให้ราคาหุ้นลดลงต่ำกว่ามูลค่าที่เหมาะสมได้
ผมจึงแนะนำให้ทุกคนเข้าใจกลไกของตลาดเพราะมันจะช่วยให้เราสามารถหาโอกาสในการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนได้ดีได้ตลอดเวลาครับ
#สำหรับเพื่อนๆ ที่สนใจลงทุนต่างประเทศ ที่บริษัทหลักทรัพย์ฟิลลิป มีทั้งแบบที่ลงทุนโดยตรงด้วยตนเองผ่านบริการ Phillip Global Markets ค่าคอมฯ เริ่มต้นเพียง 0.2% (ตลาด U.S. และ H.K) จุดเด่นของเค้าคือมีบริการ support 24 ช.ม.
1
สนใจติดต่อ Line: @phillipglobal
หรือคลิก: https://lin.ee/q0bIxVg
�หรือหากยังไม่เชี่ยวชาญสามารถลงทุนผ่านกองทุนรวม กับบริการ Phillip Fund SuperMart ที่มีให้เลือกมากกว่า 20 บลจ. พร้อมคำแนะนำลงทุนจากทีมนักวิเคราะห์กองทุนโดยเฉพาะ โทร. 02-635-1718
โฆษณา