5 มิ.ย. 2022 เวลา 05:43 • ปรัชญา
การที่เราจะรู้จักการวางเฉยได้ ก็เหมือน เรารู้จักว่า สิ่งนั้นคือไฟ สิ่งนี้เป็นพิษ ที่มันเกิดขึ้นมาจากเรื่องราวอะไรบ้าง เหมือนเรารู้จักวางสิ่งนี่เป็นคุณเป็นโทษอย่างไร หากเรารู้จัก ..ไปพบเจอเจอะ เราก็วางเฉยหรือ หยุดยั้ง หยุดนิ่งอยู่กับที่ตัวเรา เหมือนกับว่าเรานำเรือนกายเคลื่อนที่ไป ไปเจอะเจอสิ่งที่ไม่ดี เป็นภัยเราก็หยุดยั้ง หยุดดู เพื่อจะหลบหลีก เหตุให้เราต้องมีกรรม
เราก็ดูหนูที่มันวิ่งไปหากิน มันวิ่งไปเจอแมว..เราก็ดูหนูมัน ..หนูมันเจอแมว มันก็รู้ว่าเจออันตราย มันก็หยุด..หรือ วิ่งหนี เพราะมันรู้อันตราย
คราวนี้ เราก็ไปดูเด็ก หัดคลานบ้าง กำลังอยากรู้อยากเห็น คลานไปเจอะอะไร ร่องเจอรู ก็ชอบเอานิ้วจิ้ม แหย่รู ..แหย่ไปโดนรังมดก็ร้อง พอเจ็บมันก็กลัวเข็ดไม่ทำอีก นั้นก็คือเรื่องราวของจิต ที่รู้จักว่า จะต้องวางเฉย ..วางเฉยเพราะอะไร นั้นก็เรื่องราวหนึ่ง
คราวนี้..มันก็มีการที่ว่าวางเฉย มันก็มีหลายแบบ ข้างนอกคือกาย กิริยากายดูเฉย แต่ข้างในว้าวุ่น วุ่นวาย วางเฉยง.แบบซื่อบื้อก็มี คือ จิตมันไม่รับรู้อะไรเลยก็มี เหมือนคนไม่มีความรู้สึก ..นั้นก็ก็เป็นเหมือนผีดิบไปอีก คือ วางเฉยไม่รับรู้ ไม่มีสติไม่มีเหตุผล ที่จะกลั่นกรองอะไรก็มี เพราะกายนี้ มันเป็นที่ตั้งของอารมณ์ ถ้ามันยังมีอารมณ์นึกคิดอยู่ กายเฉย แต่จิตมันไม่เฉย มันก็วางเฉยไม่จริง .
นั้นก็เป็นเรื่องราวที่จะต้องมีการฝึกหัด ควบคุมอารมณ์ ที่จะแสดงกิริยา กายวาจาใจ ที่ดีหรือไม่ดี เหมือนว่า เราไปในสถานที่หนึ่ง ที่เราก็ไม่รู้จักใคร มีเรื่องวุ่นวายรอบกาย ..เราจะทำอย่างไรให้วางเฉยได้ เพราะต้องอยู่ในสถานที่นั้น ตาเราเห็นหูเราได้ยิน ..อารมณ์อะไรเกิดขึ้น ..กายเรานิ่งได้มั้ย จิตเราเฉยได้มั้ย เราก็สำรวจตัวเราเองได้
คราวนี้เมื่ออยฟู่ในสถานการณ์แบบนั้น มีสิ่งต่างๆ ไหลมาแต่เหตุ..เหตุทีคนมีกรรม มีเสียงของกรรม มากระทบเรา จิตเราก็ย่อมมีอารมณ์ฟุ้งซ่านไปด้วย ร้อนไปด้วย
ถ้าเราเคยฝึกหัด สวดมนต์ นั่งสมาธิ จิตมีสมาธิได้ เราก็เอาจิตที่มีสมาชิก มีกำลังที่ได้จากการฝึกหัดปฏิบัติ เอาจิตนั้นมาควบคุมอารมณ์กายวาจาใจ เมื่อเราต้องสัมผัสกับไฟ คือ อารมณ์ที่กำลังลุกขึ้นมาที่เรือนกาย เผาผลาญทั้งกายทั้งจิต เมื่อไฟกำลังเผาผลาญเรือนกาย ที่จิตเราอาศัยอยู่ เป็นเหมือนบ้านกำลังลุกเป็นไฟ ..
..เราจะหาดับที่ไหน มาดับไฟ ให้กายนั้นนิ่ง จิตก็เฉย นั้นก็คือเรื่องราวของคำว่า สติปัญญาที่จะนิ่งเฉย..เพื่อปลดปล่อยอารมณ์นั้นให้ไหลผ่านไป เหม่อนก้อนเมฆฝน ไม่ตกเปียกที่ตัวเรา เราก็เฉยได แต่ถ้าฝนมันตกลงมา กายเราก็ต้องเปียก เหมือนอารมณ์ที่เกิดมีขึ้น
นั่นก็เป็นเรื่องราวของจิตที่พิจารณาเหตุผลต่างๆ ให้แก่จิต แล้วจิตที่มีปัญายารมี เค้าก็วางเฉยด้วยปัญญาของจิตที่ที่เกิดขึ้น ว่ากำลังทำอะไร อะไรเกิดขึ้นแก่จิต จะวางได้หรือไม่ได้ ก็อยู่ที่สติปัญญา ที่จะพิจารณาเหตุผล แล้วปล่อยวาง คือ ไม่ไปยึดถือ ให้จิตมีกรรม มีอารมณ์นึกคิดต่อไป คือ หยุดอารมณ์ หยุดกิริยาที่จะสร้างกรรม ให้จิตมีกรรม คือ มีปัญญา หยุด
แล้วเข้าใจว่า ตนเองทำไมต้องเฉย ..ต้องทำด้วยสติและให้จิตมีเหตุผลขึ้น คือ ใคร่ครวญพิจารณา ..ให้รู้จักกรรม..รู้จักว่าทำเหตุนี้ใช้กิริยากายวาจใจอย่างนี้ เป็นกรรม เราก็หยุด จะได้ไม่ลื่นไหลไปตามกรรม
โฆษณา