7 มิ.ย. 2022 เวลา 16:22 • ความคิดเห็น
ก็คุณเป็นคนแบกเองมาถามคนอื่นได้ไง ในเมื่อคุณก็ไม่ยอมวางมันลงซักที คุณแบกมันหนักอยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งตอนตั้งคําถาม คุณลองคิดดูว่า เวลาคุณแบกข้าวสารที่เมียใช้ไปซื้อ หรือแบกของของเมียเจ้านาย แล้วมันหนักมาก คุณไม่อยากแบกมันต่อไปอีกแล้ว เพราะไม่ใช่ธุรของเราซักกะหน่อย คุณจะทำอย่างไร คุณก็แค่โยนมันทิ้งลงถังขยะเท่านั้นเอง หรือค่อยๆปล่อยวางลงให้เจ้าของ พร้อมบอกว่า เอ็งแบกเองซิ เท่านี้ก็ปลอดโปร่งโล่งสบาย
เรื่องราวต่างๆที่เข้ามาในชีวิต ไม่ว่ามันจะหนักหนาสาหัสสากัญแค่ไหน สังเกตุดูว่า บางคนก็ทุกข์ ประเดี๋ยวประด๋าว บางคนไม่ทุกข์เลย บางคนทุกข์ตลอดทั้งปีทั้งชาติ เช่นทําเงินหาย 2000 บาท บางคนบอกช่างมัน หาใหม่ได้ บางคนทําเงินหาย 20 บาทจะเป็นจะตาย บางคนมีเรื่อง มีปัญหาเข้ามาทั้งปีทั้งชาติ แต่ทําไมเขาจึงทุกข์เพียงชั่วขณะ และดําเนินชีวิตต่อไปได้ ก็เหมือนเขากําลังจะแบกของบนบ่า ซึ่งมันหนักมาก
แต่เขาโยนทิ้งระหว่างทาง พอมีปัญหาเข้ามาให้แบก ก็โยนทิ้งไปอีก ส่วนคนที่ไม่ปล่อยวาง ก็จะแบกสะสมไปเรื่อยๆ จนหนักอึ้งไม่ยอมปล่อยวางซักที และก็มาถามหาวิธีปล่อยวางในขณะที่ตัวเองก็แบกไว้บนบ่า ไม่ยอมปล่อย
บางคนอาจจะเถียงว่า มันไม่เหมือนกันซักกะหน่อย นั่นมันสิ่งของ นี่คือความทุกข์ การปล่อยวางในหลักการของชาวพุทธก็เช่นเดียวกับการทิ้งของลงข้างทาง คือทิ้งทุกข์ลงซะ ไม่แบกอีกต่อไป แต่ทุกข์มันไม่เหมือนสิ่งของเพราะว่า เราไม่รู้ตัวว่าเราแบกมันอยู่ มันเหมือนสิ่งของล่องหน หายไปชั่วคราวซักพักโผล่มาอยู่บนบ่าให้แบกอีก วิธีง่ายๆที่เราจะทิ้งมันไป คือเราต้องฝึกสติหรือรู้สึกตัวเสียก่อนว่ามันมีอยู่บนบ่า
สติจะระลึกได้ถึงสมุทัย ที่ก่อตัวเป็นความทุกข์ คือเผลอคิดและจมไปกับความทุกข์โดยไม่รู้สึกตัว ไม่รู้ว่ามันอยู่บนบ่า จิตจะปรุงแต่งตัวทุกข์ ให้เป็นสมุทัยคือเกิดเป็นความไม่ชอบไม่สบายใจ เบื่อ เกลียด ฟุ้งซ่าน คิดไปไกล และย้อนกลับไปคิดเรื่องในอดีต ปรุงแต่งทุกข์เพิ่มบนบ่าอยู่เรื่อยๆ ถ้าเราฝึกสติอยู่เรื่อยๆ จนสติไล่ทันความคิด ความรู้สึกเหล่านั้นได้ มันก็จะหยุดปรุงแต่ง มันก็จะคิดถึง แต่มันจะวาง คิดถึงแล้ววาง
เปรียบเสมือนเราแบกของหนัก เรารู้ตัว ของที่มันจะหนักขึ้นเรื่อยๆ มันจะค่อยๆเบาลงและสลายตัวไปในความคิดในที่สุด
โฆษณา