14 มิ.ย. 2022 เวลา 08:02 • หุ้น & เศรษฐกิจ
EIC คาดเศรษฐกิจไทยปีนี้โต 2.9% มีนักท่องเที่ยวเข้าไทย 7.4 ล้านคน
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ ปรับประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย ปี 2565 ขึ้นเป็น 2.9% (จากเดิม 2.7%) ตามการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและภาคบริการ ผ่านการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวของไทย และการผ่อนคลายมาตรการผ่านแดนในหลายประเทศทั่วโลก
โดย EIC ประเมินว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยรวม 7.4 ล้านคนในปีนี้ (เดิม 5.7 ล้านคน)
อีกทั้งกิจกรรมในภาคบริการในประเทศ ยังมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นจากการกลับออกมาใช้ชีวิตนอกบ้านมากขึ้น ตามอัตราการฉีดวัคซีนที่สูง และการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคของภาครัฐ
นอกจากนี้ภาคเกษตร จะมีส่วนช่วยสำคัญในการผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจในปีนี้
โดยผลผลิตภาคการเกษตรมีแนวโน้มขยายตัวได้ดี
รวมถึงราคาสินค้าเกษตรมีแนวโน้มขยายตัวตามทิศทางราคาอาหารโลกที่เพิ่มสูงขึ้น จากปัจจัยด้านอุปทานที่ถูกกระทบจากสงครามในยูเครน และมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียจากชาติตะวันตก
อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายในประเทศที่ได้รับแรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวและบริการ ซึ่งเป็นแหล่งจ้างงานสำคัญ รายได้ภาคเกษตรที่เพิ่มขึ้น รวมถึงอุปสงค์คงค้าง (Pent-up Demand) จากกลุ่มผู้มีกำลังซื้อ จะยังมีแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่จะเร่งตัวสูงสุดในรอบ 24 ปี..
ขณะที่การส่งออกมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงในระยะต่อไป ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
- ในส่วนของ “เงินเฟ้อ” ของประเทศไทย
EIC คาดว่าอัตราเงินเฟ้อที่จะเร่งตัวสูงถึง 5.9% เฉลี่ยทั้งปีนี้ (เดิม 4.9%) ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 24 ปี
ท่ามกลางการทยอยลดมาตรการอุดหนุนค่าครองชีพของภาครัฐ จะกดดันกำลังซื้อ และการบริโภคภายในประเทศ รวมถึงชะลอการลงทุนในภาคธุรกิจลง
โดย EIC วิเคราะห์ว่ารายได้ภาคครัวเรือนที่มีแนวโน้มเติบโตช้าตามตลาดแรงงานที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ จะเป็นข้อจำกัดต่อความสามารถในการรับมือกับ ค่าครองชีพที่เร่งตัวสูงในปีนี้
โดยเฉพาะสำหรับกลุ่มครัวเรือนที่มีปัญหารายได้ไม่พอรายจ่ายอยู่แล้ว ซึ่งมีจำนวนถึงกว่า 7 ล้านครัวเรือนหรือเกือบ 1 ใน 3 ของจำนวนครัวเรือนไทยทั้งหมด ที่ปัญหาเงินเฟ้อสูงในปีนี้จะส่งผลซ้ำเติมทำให้สถานะทางการเงินถดถอยลง
ทั้งจากสภาพคล่องที่ลดลง และหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นจากครัวเรือนบางส่วนที่ต้องกู้มาใช้จ่าย เพื่อชดเชยรายได้ที่ไม่เพียงพอ ถือเป็นความเปราะบางของภาคครัวเรือนไทยที่เพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้ ภาคธุรกิจจะประสบปัญหาจากภาระต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งยังสามารถส่งผ่านไปยังผู้บริโภคได้จำกัด โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่ไม่จำเป็น (Discretionary)
- ด้านนโยบายการเงิน
EIC คาดว่า กนง. จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายมาอยู่ที่ 0.75% ในไตรมาสที่ 3 ปี 2565 จากเงินเฟ้อที่เร่งตัวสูง และเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นหลังเปิดประเทศ
เพื่อลดความเสี่ยงด้านเสถียรภาพราคา และชะลอการเร่งตัวของเงินเฟ้อคาดการณ์ที่เริ่มปรับสูงขึ้น
โดยเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะสั้น (1 ปีข้างหน้า) ของครัวเรือนปรับมาอยู่ที่ 3.1% ในเดือนพฤษภาคม 2565 ขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงของไทย (อัตราดอกเบี้ยหลังหักเงินเฟ้อ) ในปัจจุบันยังติดลบ และอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน
ซึ่งอาจส่งผลให้เงินทุนเคลื่อนย้ายมีแนวโน้มไหลออกจากไทย และเงินบาทมีโอกาสปรับอ่อนค่าลง
ทั้งนี้การลดระดับการผ่อนคลายสูงของนโยบายการเงิน (ultra-easy monetary policy) จะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อประคับประคองการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ยังเปราะบาง และมีแผลเป็นจากวิกฤติโควิด ทั้งการว่างงาน รายได้ที่ฟื้นตัวช้า และภาระหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง
- สำหรับค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
นับตั้งแต่ต้นปี 2565 จนถึงวันที่ 7 มิถุนายนที่ผ่านมา เงินบาทอ่อนค่าลงราว 3.6% ซึ่งเป็นการอ่อนค่าในทิศทางเดียวกันและใกล้เคียงกับสกุลอื่นในภูมิภาค
EIC มองว่าในระยะสั้น ค่าเงินบาทจะยังเผชิญแรงกดดันจากการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed และความเสี่ยงของภาวะสงคราม ส่งผลให้เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าอยู่ในกรอบ 34.5 - 35.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
อย่างไรก็ตาม เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยในช่วงปลายปี 2565 จากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวขึ้น และดุลบัญชีเดินสะพัดที่จะปรับดีขึ้นตามดุลภาคบริการ
โดย ณ สิ้นปี 2565 EIC คาดว่าเงินบาทมีแนวโน้มกลับมาแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยในช่วง 33.5 - 34.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
- ในภาพรวม EIC ประเมินว่าแรงขับเคลื่อนของเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป
จะมาจากภาคท่องเที่ยวและภาคบริการเพิ่มมากขึ้น แทนที่ภาคการผลิตเพื่อส่งออก ตามการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ และการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรค
แต่การฟื้นตัวของการใช้จ่ายในประเทศ จะยังมีแรงต้านจากอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นเร็ว และจะยืนอยู่ในระดับสูงตลอดช่วงปีนี้ ท่ามกลางข้อจำกัดด้านมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และแผลเป็นทางเศรษฐกิจที่มีอยู่เดิม ส่งผลให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยเป็นไปอย่างช้า ๆ
โดยระดับ GDP รายปีจะยังไม่กลับไปเท่าระดับของปี 2562 จนกระทั่งไตรมาสที่ 3 ของปี 2566
นอกจากนั้น เศรษฐกิจไทยจะยังเผชิญความเสี่ยงที่สำคัญในระยะต่อไป ได้แก่
1) ภาวะสงครามที่ยังยืดเยื้อ ระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลให้ราคาพลังงาน และโภคภัณฑ์ยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง
2) การชะงักงันของอุปทานในภาคการผลิตและขนส่ง จากนโยบาย Zero Covid ในจีน ที่อาจส่งผลให้มีการล็อกดาวน์เพิ่มเติม
3) การแบ่งแยกห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Decoupling/Fragmentation) เป็นสองขั้วเศรษฐกิจจากปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ (ฝั่งสหรัฐฯ และฝั่งจีน) จะลดประสิทธิภาพ และเพิ่มต้นทุนด้านการค้าและการลงทุนในภาคการผลิต
4) ผลของแผลเป็นเศรษฐกิจที่ถูกซ้ำเติมจากผลกระทบด้านค่าครองชีพที่สูงขึ้น จนอาจกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ในวงกว้าง
5) มาตรการช่วยเหลือ และสนับสนุนจากภาครัฐที่ทยอยลดลง ทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและลดค่าครองชีพโดยเฉพาะด้านพลังงาน
—-----------------------------
ที่มา - ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์
โฆษณา