15 มิ.ย. 2022 เวลา 14:29 • หุ้น & เศรษฐกิจ
Black Swan…
ใครที่ติดตามรายการของช่องลงทุนแมนตอนที่นักลงชื่อดังมาแชร์วิกฤตของแต่ละท่านที่เกิดขึ้น คงได้เรียนรู้บทเรียนข้อคิดดีๆกันอย่างเต็มที่
สัปดาห์นี้ผมขอแชร์ข้อคิดที่ผมได้จากการเกิด Black Swanในพอร์ตการลงทุนต่างประเทศของผมที่ไม่เคยเกิดมาก่อนจากประวัติการลงทุนกว่า 20 ปี
ถ้าใครได้ติดตามเพจนี้มาเข้าปีที่ 8 แล้วจะพอทราบว่าผมถือหุ้นเทคฯตัวใหญ่ๆอย่าง Microsoft Alphabet Meta มา 4-8 ปีเข้าไปแล้ว เส้นทางการลงทุนในอเมริกาตั้งแต่ปี 2015 จนถึงปีที่แล้วค่อนข้างดี ผลตอบแทนเฉลี่ยเกิน 20% ต่อปีแบบทบต้น
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ตลาดหุ้นอเมริกาปรับตัวลดลงอย่างหนักช่วงเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วจนถึง ณ วันนี้ ทำให้เกิด Black Swan กับพอร์ตการลงทุนของผมเต็มๆ
ที่ผ่านมา กำไรมาทุกปีอย่างต่อเนื่อง เพราะไม่เคยลงหุ้นที่มีพีอีสูงมาก และไม่ลงทุนในหุ้นที่ยังไม่มีกำไร
พอปรับกลยุทธ์เมื่อปีที่แล้วมาลงทุนหุ้นเติบโตสูงแต่ยังไม่มีกำไร พอร์ตโดยรวมตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันนี้ขาดทุนไปแล้วเกือบ 40% เพราะหุ้นเติบโตสูงติดลบหนักมาก ไม่เว้นหุ้นตัวใหญ่ก็ติดลบ 20-30% เช่นกัน
1
สิ่งที่ผมได้เรียนรู้และอยากแชร์กับทุกท่านคือ
ข้อแรกผมประเมินความเสี่ยงเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยไว้ต่ำเกินไป เนื่องจากที่ผ่านมาดอกเบี้ยเคยขึ้นในช่วงปี 2018 พอร์ตก็มีปรับลดลงบ้าง แล้วก็กลับมาดีอีกครั้งในปี 2019 แต่ครั้งนี้สภาพแวดล้อมมันเปลี่ยนไป เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นจากทั้งฝั่ง Demand และ Supply ทำจุดสูงสุดในรอบ 41 ปีที่ 8.6% ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
ผมลงทุนระยะยาว เงินเฟ้อน่าจะเป็นแค่ปัจจัยลบระยะสั้น แต่สภาพแวดล้อมการลงทุนครั้งนี้เปลี่ยนไปพอสมควร โดยเฉพาะกระแสเงินที่เคยท่วมโลก กำลังจะหดหายไปอย่างรวดเร็วด้วยการขึ้นดอกเบี้ยและการทำนโยบาย QT ขอบเฟด ในสภาวะที่ตลาดดีเกินไปในช่วงปีที่แล้ว ผมควรจะลดอัตราเร่งในการลงทุนและถือเงินสดไว้บ้างในอัตรา 10-20% ก็น่าจะดีสำหรับการบริหารจัดการพอร์ต
ข้อที่สองแม้ว่าผมจะไม่ได้เชื่อกูรูหุ้นเทคฯที่โด่งดังในปี 2020 อย่าง Cathie Wood แต่ผมก็ติดกับดักมองหุ้นเทคฯที่น่าสนใจทั้ง Fintech Game และ SaaS ดีเกินไป รีบเข้าซื้อในช่วงที่ตลาดกำลังคึกคักเป็นอย่างมากในช่วงต้นปี 2021 ต่อให้ใช้ส่วนเผื่อความปลอดภัยเป็นอย่างดี แต่ด้วยการที่ผมมองว่าหุ้นเหล่านี้จะเติบโตไปได้อีกไกลใน 5-10 ปีข้างหน้า
เลยซื้อที่ราคาสูงเกินไป อีกบทเรียนที่สำคัญคือการซื้อหุ้นไอพีโอ ที่เราไม่เห็นผลงานจริงๆของหุ้นมากเพียงพอ ในหนังสือชี้ชวนเพื่อลงทุนหรือ Filing ก็โชว์ผลงานในช่วงที่ผ่านมาแค่ 2-3 ปีเท่านั้น บริษัทอาจจะยังไม่ผ่านทุกวงจรเศรษฐกิจโดยเฉพาะในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น ตลาดมีความเสี่ยงเยอะขึ้น การรอคอยบริษัทใหม่ๆเหล่านี้แสดงผลงานไปซัก 1-2 ปีน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
ข้อที่สาม ผมไม่ได้คาดการณ์ว่าหุ้นที่ลงหนักมากแล้วเกือบ 50% จะลงต่อได้อีกมากกว่า 70% เช่นหุ้นราคา $100 ลงมาเหลือ $50 คิดว่าต่ำแล้ว มันยังลงมาเหลือ $15 ได้เลย ต้องบอกว่าทิศทางการขึ้นดอกเบี้ยที่ชันแบบช่วงนี้ ช่างมีพลังทำลายล้างราคาหุ้นเติบโตสูงได้มากเลยทีเดียว การซื้อสวนตลาดในช่วงที่ตลาดลงหนักๆ กลับไม่ได้ผลดีเท่ากับที่เคยทำได้กับหุ้น Meta,Airbnb, Disney, และตัวอื่นๆ
ข้อที่สี่คือเหตุการณ์ Blackswan ครั้งนี้ทำให้ผมรู้ว่าจริงๆแล้วในช่วง 7 ปีแรกที่ลงทุนมา ที่ได้กำไรมาค่อนข้างดีอาจจะเป็นเพราะตลาดขาขึ้นมาตลอด จริงๆแล้วตัวเองไม่ได้เก่ง เพียงแค่ชอบด้านการลงทุน ช่วงนี้ผมก็กระตุ้นตัวเองให้ขยันศึกษาหาความรู้อย่างต่อเนื่อง พยายามคิดหาจุดอ่อนในการลงทุนของเรา เพราะมันจะช่วยให้ผมสามารถวิเคราะห์หาหุ้นตัวต่อไปได้ดียิ่งขึ้น
ข้อที่ห้า การประเมินมูลค่าหุ้นเติบโตสูง แต่ยังไม่มีกำไร ผมว่านักลงทุนน่าจะเจอปัญหาเดียวกันกับผมว่าจะใช้วิธีในการคำนวณหามูลค่าที่เหมาะสมอย่างไร ผมไม่ได้ใช้วิธีแบบ Discount Cash Flow (DCF) แต่เลือกใช้วิธีการหาโดยใช้ค่าพีอีในอนาคตกับกำไรต่อหุ้น เพื่อหาราคาในอีก 5-10 ปีข้างหน้า เเล้วคิดย้อนกลับมาหาราคาปัจจุบัน
อย่างที่กล่าวไว้ พอเห็นหุ้นบางตัวเติบโตดีมาก ก็คาดการณ์ว่ามันจะเติบโตได้ดีอยู่ในอนาคตแม้ว่าจะคำนวณให้อัตราการเติบโตลดลงไปบ้างหลังจากช่วงโควิด แต่ก็ยังดูห่างไกลจากราคาตอนนี้ที่มีส่วนลดมากกว่าที่คิดไว้มาก ผมคิดว่ามันยังไม่มีสูตรสำเร็จในการคำนวณหามูลค่าหุ้นที่มีอัตราการเติบโตสูง ต่อให้ผมดูหุ้นที่มี P/S ดี มีกระแสเงินสดอิสระเป็นบวกอย่างต่อเนื่อง ก็ไม่ช่วยให้รอดพ้นตอนตลาดลงทั้งแผง
คงต้องติดตามกันต่อไปว่าผมจะบริหารจัดการพอร์ตให้อยู่รอดจากวิกฤต Black Swan ได้อย่างไร ช่วงนี้ผมอยู่ด้วยความเชื่อว่าหุ้นที่ถืออยู่มีศักยภาพในการเติบโตระยะยาว ในฐานะที่เป็นเจ้าของกิจการเราต้องอยู่กับมันเพื่อผ่านช่วงเวลาเลวร้ายที่สุดไปให้ได้ โดยในระหว่างที่รอ ผมก็ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม การลงทุนยิ่งคุณมีความรู้มากกว่าคนอื่น ยิ่งได้เปรียบ
1
การเรียนรู้กับการลงทุนเป็นของคู่กันที่ควรจะต้องหมั่นฝึกทำทุกวันให้เป็น Atomic Habbits ให้ได้ครับ
#ถ้าเริ่มสนใจลงทุนต่างประเทศแบบที่ซื้อขายด้วยตนเอง บริการ Phillip Global Markets เริ่มต้นลงทุนเพียง 50,000 บาท ค่าคอมฯ เริ่มต้นเพียง 0.2% (ตลาด U.S. และ H.K) พร้อมมีเจ้าหน้าที่คนไทย Support 24 ช.ม.
ติดต่อ Line: @phillipglobal หรือคลิก: https://lin.ee/q0bIxVg
หรือถ้ายังเป็นมือใหม่ “กองทุนรวม” ก็เป็นทางเลือกที่เหมาะสมนะครับ กับบริการ Phillip Fund SuperMart ที่มีให้เลือกมากกว่า 20 บลจ. พร้อมคำแนะนำลงทุนทันสถานการณ์ โดยทีมนักวิเคราะห์กองทุน โทร. 02-635-1718 (ตอนนี้เปิดบัญชีออนไลน์ได้แล้ว)
โฆษณา