16 มิ.ย. 2022 เวลา 15:07 • หนังสือ
เราต้อง #อธิษฐานร่วมกับพระเจ้า ผู้ทรงเป็นความเชื่อของเรา — มก.11:20–24:
1. ใน มก.11:20–24 องค์พระเยซูเจ้าทรงสอนเหล่าสาวกของพระองค์ให้ #อธิษฐานโดยความเชื่อ เพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า.
2. เมื่อผู้ที่อธิษฐานผสมกลมกลืนกับพระเจ้าและเป็นหนึ่งกับพระเจ้า #พระเจ้าก็ทรงกลายเป็นความเชื่อ ของเขา; นี่คือความหมายของการมีความเชื่อในพระเจ้า — ข้อ 22.
3. ผู้ที่อธิษฐานสามารถ #มีความเชื่อในพระเจ้า โดยไม่ต้องสงสัย อีกทั้งเชื่อว่าเขาได้รับสิ่งที่ได้ทูลขอนั้นแล้ว และเขาก็จะได้รับสิ่งนั้น.
4. ในข้อ 24 องค์พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ทุกสิ่งที่ท่านอธิษฐานและขอ จงเชื่อว่าท่านได้รับสิ่งเหล่านั้นแล้ว และท่านก็จะได้สิ่งนั้น”
5. ถ้าเราอธิษฐานตามน้ำพระทัยของพระเจ้าเพื่อทำให้แผนการบริหารของพระองค์สำเร็จเป็นจริง เราก็เป็นหนึ่งกับพระเจ้าและมีความมั่นใจว่าเราได้รับสิ่งที่เราอธิษฐานนั้นแล้ว — มธ.6:9–10.
มาระโก บทที่ 11 ข้อ 22–24 พระเยซูจึงตรัสตอบเหล่าสาวกว่า #จงมีความเชื่อในพระเจ้า. เราบอกท่านทั้งหลายตามจริงว่า ถ้าผู้ใดจะสั่งภูเขานี้ว่า จงเลื่อนไปลงในทะเล และมิได้สงสัยในใจ แต่เชื่อว่าได้เป็นไปตามที่เขาว่านั้น ก็จะเป็นตามนั้นจริง. เหตุฉะนั้นเราบอกท่านทั้งหลายว่า ทุกสิ่งที่ท่านอธิษฐานและขอ #จงเชื่อว่าท่านได้รับสิ่งเหล่านั้นแล้ว และท่านก็จะได้สิ่งนั้น.
คำสัญญาใน มก.11:24 มีความครอบคลุมมาก. ข้อนี้เป็นหนึ่งในข้อพระคัมภีร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในพระคัมภีร์. โยฮัน 3:16 พูดถึง “ทุกคน” แต่ข้อนี้พูดถึง “ทุกสิ่ง.” โยฮัน 3:16 บอกเราว่า “ทุกคนที่เชื่อเข้าสู่พระบุตรนั้น...มีชีวิตนิรันดร์”; มาระโก 11:24 บอกเราว่า “ทุกสิ่งที่ท่านอธิษฐานและขอ...ท่านก็จะได้สิ่งนั้น.” นี้เป็นข้อที่มีความครอบคลุมมาก.
“ทุกสิ่ง” ครอบคลุมถึงสิ่งของทั้งหมด. แต่ในข้อนี้ก็มีเงื่อนไขคือเราต้องเชื่อ. ถ้าเราไม่มีความเชื่อ เราก็ไม่อาจได้รับสิ่งที่เราทูลขอ. ข้อนี้ไม่เพียงบอกเราถึงความจำเป็นของความเชื่อเท่านั้น แต่ยังกล่าวถึงเนื้อแท้ของความเชื่อด้วย.
#เนื้อแท้ของความเชื่อ...ไม่ใช่ความจำเป็นของความเชื่อ นั่นเป็นการปรากฏทางภายนอก. คำถามคือเราจะเชื่อได้อย่างไร และ [มก.11:24] ก็เป็นพระคำเพียงข้อเดียวที่มาตอบคำถามนี้. “จงเชื่อว่าท่านได้รับสิ่งเหล่านั้นแล้ว และท่านก็จะได้สิ่งนั้น.”
#เราควรจะเชื่ออย่างไร? “จงเชื่อว่าท่านได้รับสิ่งเหล่านั้นแล้ว.” หนทางในการเชื่อไม่ใช่เราจะได้รับ หรือสามารถได้รับ หรือจะได้รับ แต่เป็นเราได้รับแล้ว. ความเชื่อคือเราได้รับแล้ว ไม่ใช่เราจะได้รับในวันหนึ่ง.... การเชื่อด้วยสุดใจของเราว่าเราสามารถได้รับหรือเราจะได้รับนั้น...เป็นความหวัง ไม่ใช่ความเชื่อ.... สิ่งที่อยู่ในอนาคตนั้นเป็นความหวังเสมอ ไม่ใช่ความเชื่อ.
องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราไม่ได้ตรัสว่า “จงเชื่อว่าท่านจะได้รับสิ่งเหล่านั้น.” ในทางกลับกัน พระองค์ตรัสว่า “#จงเชื่อว่าท่านได้รับสิ่งเหล่านั้นแล้ว.” นี่คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงกระทำสำเร็จแล้ว พระเจ้าได้ประทานให้เราแล้ว. เมื่อใดที่ความเชื่อของเราวางไว้ในอนาคต นั่นก็ไม่ใช่ความเชื่อ แต่เป็นความหวัง.
ให้เราพิจารณาถึงความหมายของ #ความเชื่อที่มีชีวิต. มีเพียงเมื่อเรารู้ว่าความเชื่อที่มีชีวิตคืออะไร เราจึงจะปรับใช้ความเชื่อนี้ได้.... ทุกคนล้วนแต่รู้จักคำว่า “ความเชื่อ” แต่ความเชื่อของหลายๆ คนกลับไม่ใช่ความเชื่อที่แท้จริง.
พระคัมภีร์บอกกับเราว่าคนเก่าได้ตายไปแล้ว. หลายคนกล่าวว่าพวกเขาเชื่อเรื่องนี้ แต่ความเชื่อของพวกเขากลับไม่มีประสิทธิภาพ. พวกเขาไม่ได้ดูเหมือนตายแล้วเลย.
สำหรับหลายๆ คน ความเชื่อเป็นเพียงการเห็นชอบในความคิด แต่ไม่ได้เป็นการเชื่อด้วยใจจริง. พวกเขาเห็นด้วยในความคิดว่าสิ่งนั้นดีและมีเหตุผล. พี่น้องชายหญิงทั้งหลาย อย่าได้คิดว่านี่คือความเชื่อ.
นี่เป็นเพียงการเห็นชอบในความคิดเท่านั้น. หลังจากบุคคลหนึ่งได้ยินหลักธรรม เขาอาจจะชื่นชมความดีเลิศและหลักเหตุผลของหลักธรรมนั้น. แต่การรู้จักหลักธรรมที่ดีไม่ได้หมายความว่าคนนั้นมีความเชื่อในหลักธรรมนั้น.
มาระโก 11:24 เป็นพระคำข้อเดียวในพระคัมภีร์ที่บอกเราว่า #ความเชื่อคืออะไร.... ความเชื่อคือการเชื่อว่าเราได้รับแล้ว.... มีเพียงความเชื่อประเภทนี้เท่านั้นที่พระเจ้าทรงยอมรับ. คำว่า “แล้ว” ใน มก.11:24 เป็นคำที่สำคัญมาก. ถ้าเราเชื่อว่าเราได้รับบางสิ่งแล้ว. เราก็จะได้รับสิ่งนั้น. ถ้าเราหวังว่าเราจะได้รับสิ่งนั้น นั่นก็ไม่ใช่ความเชื่อ.
ความเชื่อคือหลังจากคนบาปได้อธิษฐานแล้ว บอกกับท่านว่า “ขอบพระคุณพระเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอภัยความบาปทั้งหมดของข้าพเจ้าแล้ว! ขอบพระคุณพระเจ้า ข้าพเจ้าได้รับความรอดแล้ว!”
บางทีในขณะที่เขาพูด น้ำตาของเขาก็ไหลออกมา. นี่ก็คือความเชื่อ.... นี่ไม่ใช่การเชื่อว่าความบาปของเราสามารถได้รับการอภัยหรือจะได้รับการอภัย แต่เชื่อว่าความบาปของเราได้รับการอภัยแล้ว.
โฆษณา