19 มิ.ย. 2022 เวลา 05:46 • ปรัชญา
- จงอย่าใช้ชีวิตอยู่ในความประมาท.
พระองค์ทรงน้อมพระทัยไปเพื่อปุพเพนิวาสานุสติญาณ คือระลึกชาติได้ เอาง่ายๆตรงๆดีกว่า ระลึกชาติได้ ตรงนี้ทิพจักษุ ทิพโสต ของพระองค์น่ะเกิดเจริญมานานแล้ว ก่อนหน้าที่จะนั่งนั้นก็เจริญแล้ว เห็นไปถึงพรหมโลกแล้ว ถ้าไม่เห็นก็
จะไม่ทรงทราบว่าการเจริญเพียงฌานสมาบัติ เรียกว่าสมาบัติ 8 ประกอบด้วยรูปฌานและอรูปฌานนี่ แค่นั้นก็ไม่เป็นเหตุปัจจัยให้พ้นทุกข์ได้ แต่ไม่ใช่ว่าไม่ใช่ทางเสียเลย เพราะรูปฌาน 4 ก็เป็นทางแล้ว แต่พระองค์ทรงเห็นน่ะ เจริญไปถึงอรูปฌาน โอ้! นี่ตายแล้วไม่ได้ทำปัญญาให้เกิด ไปเกิดในอรูปโลก หนักเข้าไปเลยกว่าจะตาย พระพุทธเจ้าเสด็จมาตรัสกี่องค์ๆยังไม่ตาย แต่ก็ต้องตาย พระองค์
ทรงเห็นตรงนั้นอยู่ก่อนแล้ว เพราะฉะนั้น ทิพจักษุ ทิพโสต สมันตจักษุ พระองค์มีพร้อมแล้ว
เผื่อท่านปฏิบัติไปแล้วท่านจะรู้ว่า เพียงแค่ปฏิบัติได้ปฐมฌานเนี่ย ทิพจักษุเกิดแล้ว นรก-สวรรค์ก็เริ่มเห็นแล้ว ไม่ใช่ไม่เห็น แต่ว่าเอาละ มันยังไม่แจ้งชัดเหมือนกับมาเจริญวิชชา 3
วิชชาที่ 1 คือปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติถอยหลังไปได้ ตรงนี้ทำให้เห็น
ว่า สัตว์โลกเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารจักรไม่มีที่สิ้นสุด และที่สำคัญที่สุดไปทุคติภูมิมากกว่าสุคติ ตรงนี้โยมพึงเข้าใจนะ ตายแล้วเกิดทันทีนะ ไม่ต้องไปถามใคร ตายแล้วเกิด ถ้ายังมีเหตุปัจจัยให้เกิด คือ อวิชชา กิเลส ตัณหา อุปาทาน กล่าวโดยย่อ ถ้ายังไม่หมดเกิดร้อยเปอร์เซ็นต์ ทีนี้ ถ้าความดีมี ก็ไปเกิดในที่ดี
พอสมควร แต่ไม่พ้นโลก คือยังไม่พ้นจากความทุกข์ หมดบุญไง ที่ว่าบุญไง หมดบุญก็ กรรมชั่วที่ทำไว้ก็ให้ผล วนอยู่ในนั้นแหละ
ทีนี้มาดูว่า ที่ไปเกิดในที่ดี เรียกว่าสุคติภพ ไปเกิดเป็นมนุษย์ แล้วก็เทพยดา แล้วก็พรหม และอรูปพรหม ซึ่งท่านแบ่งออกว่ามนุษย์กับเทวดาจัดอยู่ในประเภทกามภพ กินความไปถึงสัตว์เดรัจฉาน และสัตว์โลกในทุคติภูมิด้วย แล้วในส่วนภูมิ
จิตที่สูงขึ้นไปอีกหน่อยเรียกว่ารูปภูมิ หรือรูปภพ ก็คือภพของรูปพรหม แล้วก็ถึงอรูปภพ เป็นภพของอรูปพรหม
บางคน..บอกว่าจะไปพรหมนี่จะตายให้ได้เลย มาพูดกลัวนักหนา ถามว่าพรหมดีๆไม่มีหรือ คุณต้องรู้นะไม่ใช่แต่มนุษย์นะ เทพยดา พรหม อรูปพรหมนี่ มีพระอริยบุคคลด้วย เอาแค่ชั้นสุทธาวาสก็พรหมอนาคามีน่ะ อนาคามีที่ก่อนตายไม่
เสื่อมจากปัญจมฌาน ไปอุบัติขึ้นเป็นรูปพรหมในชั้นสุทธาวาส เบื้องต่ำหมดไปแล้ว ห้าประการหมดแล้ว ยังเหลือแต่กิเลสเบื้องสูง ท่านก็ไปบำเพ็ญสมณธรรมในนั้น ก็ปรินิพพานในภพนั้นน่ะ ไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก เพราะฉะนั้น ใครอย่ารังเกียจพรหม แล้วก็พรหมถึงอรูปพรหมที่เป็นอริยบุคคลก็มีนี่ ไม่ใช่ไม่มี แต่ว่าเขาอยู่ในฌาน คือพอตั้งแต่ปัญจมฌานไปถึงอรูปฌานเนี่ยฌานไม่เสื่อมนะ
ก่อนตายมันก็เลยมีฌานก็เลยต้องไปเกิด ไม่เป็นไร แต่ถ้าทำลายอวิชชาได้ ฌานเสื่อมไม่เสื่อมเขาก็ตัดได้ ตัดได้หมดไง เข้าใจไหม รูปราคะ-อรูปราคะไง ถ้าตัดได้ก็นั่นน่ะเป็นพระอรหันต์ ยังตัดไม่ได้ก็ไปเกิดเป็นพรหมเป็นอรูปพรหม แต่เป็นอริยบุคคลก็มี ไม่ใช่ไม่มี อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้น ตรงนี้ทำให้เห็นการเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์โลกที่ไปสุคติภูมิ นี่สุคติที่ว่านี่
ทีนี้ ไปทุคติล่ะ ไปเป็นเปรต สัตว์นรก อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน 4 เหล่านี่มากต่อมากนัก มากต่อมากนัก นี่ขออ่านให้โยมฟังสักทีเถอะนะ เออ! อ้ายขอสักทีเนี่ยต้องขออยู่เรื่อยๆนะ ที่ต้องขอตรงนี้เพื่อเตือนโยม เตือนพระด้วย เณรด้วย ถ้าคุณทำไม่ดี ไม่ว่าเป็นพระ เป็นเณร เป็นโยม จะใหญ่โตแค่ไหน ไวมากเลย ไม่เลือกชั้นวรรณะ ไม่มีข้อยกเว้น
นี่จะอ่านให้ฟัง
อันนี้พระพุทธเจ้าตรัสนะโยมนะ
"ภิกษุทั้งหลายสัตว์ที่จุติจากมนุษย์ (ตาย เคลื่อนจากภพภูมิเดิม คือตาย) จุติจากมนุษย์กลับมาเกิดในมนุษย์ มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ไปเกิดในนรก ไปเกิดในกำเนิดสัตว์เดรัจฉาน กำเนิดปิตติวิสัย (คือเปรต) มีมากกว่าโดยแท้"
เพราะฉะนั้น อย่าประมาทนะท่านนะ ความจริงสภาวะมันเป็นตั้งแต่ยังเป็นอยู่ เอาไว้ปฏิบัติต่อไปแล้วเดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง แต่เอากันว่าตายแล้วไปเกิดที่นี่ พระพุทธองค์ตรัสไว้นี่ "จิตฺเต สงฺกิลิฏฺเฐ ทุคฺคติ ปาฏิกังขา" "เมื่อจิตเศร้าหมองแล้วทุคติเป็นที่หวังได้" 4 เหล่านี่มันง่ายมากเลย ที่ไปเนี่ย นะโยมนะ เพราะฉะนั้น โยมก็ดี แม้แต่พระ แม้แต่เณร ประมาทคุณก็ไป ไม่เลือกหรอก อย่าไปนึกว่าเล่นๆ
ประมาทไม่ได้
นี่..ตรงนี้ ยังมีอีกเยอะเลยนะ แม้แต่เทพยดานะ "สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ ไปเกิดในเทพยดามีเป็นส่วนน้อย (นี่ไปเกิดในสุคติ) สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ไปเกิดในนรก เกิดในกำเนิดสัตว์เดรัจฉาน เกิดในปิตติวิสัย มีมากกว่าโดยแท้"
คือสรุปว่า มนุษย์เรานี่แหละ ตายไปแล้ว ไปเกิดเป็นเปรต สัตว์นรก อสุรกาย
สัตว์เดรัจฉาน มีมากกว่ามากนัก แล้วท่านตรัสต่อไปว่าสัตว์น้ำมีมากกว่าสัตว์บกนะ เราอย่าไปนึกแค่ว่าสัตว์บนบก สัตว์เดรัจฉานเยอะเหลือเกิน เยอะเหลือเกิน ก็แพลงตัน ไอ้พวกตัวไร ตัวอะไรนี่ มันก็ไปจากนี้ ไส้เดือน กิ้งกือ จิ้งจก ตุ๊กแก ไอ้ที่กลัวกันนักหนาน่ะไปจากมนุษ์ แมลงสาบ แมลงหวี่ แมลงวัน ทั้งนั้นเลย ใช่
เลย จากคนและจากสัตว์อื่นก็มี นี่อย่าประมาท นี่แหละ ความดีของพระพุทธศาสนา ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แค่เรื่องเดียวนี่แหละ ว่าคุณประมาทไม่ได้ แล้วนี่ เป็นข้อที่พระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญบารมีมาแล้ว ทรงเห็นแจ้งมาแล้ว เอามาบอกเรา นี่ฝ่ายบาปนะ ฝ่ายบุญนิดหน่อย บอกที่ไปบุญเนี่ย ผลบุญส่งเนี่ย ไปเกิดเป็น
มนุษย์อีก ไปเกิดเป็นเทพยดา พรหม อรูปพรหม น้อยนัก แต่ไปเกิดเป็นเปรต สัตว์นรก อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน มากต่อมากนัก เพราะฉะนั้นพระพุทธองค์จึงตรัสห้ามการฆ่าสัตว์ทุกชนิด เพราะมันไปจากคนนี่แหละ ไส้เดือน กิ้งกือ ก็ใช่ทั้งนั้นเลย แมงหวี่ แมงวัน ใช่ทั้งนั้น ไม่ใช่ธรรมดา เพราะฉะนั้นนี่ถ้าอ่านไปแล้วจะเห็นเลยว่าเป็นยังไงๆ น่ากลัว
ที่นี้ ในยามกลางแห่งราตรี พระพุทธเจ้าเจริญฌานสมาบัติใหม่ เห็นแล้วนี่ ไปเกิดในทุคติภูมิมากนัก ในยามกลางแห่งราตรี เอ้ะ!อะไรเป็นเหตุ ดำริอยู่ในพระทัย อะไรเป็นเหตุ อันนี้ก็เรียกว่าเดาเอาก็แล้วกันนะ คือสงสัยอยากรู้ธรรมดา ธรรมดาของผู้มีปัญญา เอ้ะ!อะไรเป็นเหตุ ในยามกลางแห่งราตรีทรงเจริญฌานสมาบัติถึง
จตุตถฌานอีก ให้พระทัยสงบ ตั้งมั่น ผ่องใสจากกิเลสนิวรณ์เครื่องกั้นปัญญา ถามว่า ทำไมถึงต้องเจริญฌานอีก ทำไมพระทัยไม่ตั้งมั่น แหม!มัวแต่ดูสัตว์ไปตั้งนับภพนับชาติไม่ถ้วน นับไม่ถ้วน ทั้งพระองค์เองและสัตว์อื่นทั้งหลาย เห็นหมดแล้ว
อ้าว! ในยามกลางแห่งราตรี เดี๋ยวเวลาไม่พอ เจริญฌานสมาบัติให้พระทัยตั้งมั่น
อีก ผ่องใสจากกิเลสนิวรณ์เครื่องกั้นปัญญา ดูซิว่าสัตว์แต่ละตัวแต่ละตน รวมทั้งพระองค์เองด้วย ทำกรรมอะไรมันถึงจะได้ผลอะไร ตรงนี้เริ่มเข้าสู่การศึกษาหาข้อมูล เหตุในเหตุไปถึงต้นๆเหตุให้เกิดทุกข์ ก็เห็นสัตว์โลกเป็นไปตามกรรม นี่กล่าวลัดตัดความแล้ว ทําดีได้ดี ทําชั่วได้ชั่ว
"จิตฺเต สังกิลิฏฺเฐ ทุคฺคติ ปาฏิกังขา"
"จิตเศร้าหมองแล้ว ทุคติเป็นอันหวังได้"
"จิตฺเต อสงฺกิลิฏฺเฐ สุคติ ปาฏิกังขา"
"เมื่อจิตบริสุทธิ์ผ่องใสด้วยบุญ สุคติเป็นที่หวังได้เหมือนกัน"
เพราะฉะนั้น คนจะไปดี ไปชั่ว ขึ้นอยู่ที่กรรมดี กรรมชั่ว ไปถึงเจตนาความคิด
อ่านที่ดีหรือชั่ว เพราะฉะนั้นไอ้เจตนาความคิดอ่านไม่ดีที่พูดมาเมื่อวันก่อนเนี่ย นั่นแหละ ท่านทั้งหลายทุคติภูมิมันรอรับท่าน ไปถึง ขอโทษเถอะ ถ้ามีนะ อันนี้อาตมาไม่รู้ว่ามีหรือไม่มีนะ แม้แต่สื่อมวลชนบิดเบือนข้อมูลก็เป็นทุจริต เป็นวจีทุจริต ก็อย่านึกว่าพ้น นึกอยากจะพูดอะไรก็พูด อยากจะบิดเบือนอะไรก็บิดเบือน เดี๋ยวนี้เขามีอะไรนะอินเทอร์เน็ตเว็บไซต์ เขาเรียกอะไรๆพรรค์นั้นน่ะ หลวงตาก็
เลิกเรื่องนี้มาเป็น 20 กว่าปีแล้ว ไม่เอาแล้ว นี่แหละ ไปเขียนให้ร้ายป้ายสีคนอื่น หรือทำอะไรให้ไม่ดีไม่ตรงตามความเป็นจริง คุณทุคติภูมิเป็นที่หวังได้ นี่ไม่ใช่พูดเล่นๆ ทรงเห็นแล้ว
ในยามปลายแห่งราตรี ทรงเห็นแล้วว่าสัตว์โลกเป็นไปตามกรรม และทำไมถึงไม่พ้นทุกข์ นี่ เจริญฌานใหม่ แล้ววิเคราะห์เหตุในเหตุไปถึงต้นๆเหตุให้เกิดทุกข์
จึงเห็นว่าอวิชชาเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดกิเลส ตัณหา อุปาทาน กิเลสก็สามกองใหญ่ที่พูดมา ดลจิตดลใจปฏิบัติตามอำนาจของมัน นี่เหตุแห่งทุกข์ นำไปสู่การปฏิบัติที่ไม่ดี จึงเป็นทุกข์ แล้วทรงเห็นหนทางปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ แล้วทรงปฏิบัติได้ในขณะนั้นแล้วด้วยอาสวักขยญาณ ญาณหยั่งรู้อาสวะกิเลส และวิธีทำอาสวะกิเลสหมักดองอยู่ในจิตสันดานให้หมดสิ้นโดยเด็ดขาดเป็นสมุจเฉทปหาน
เป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้พ้นจากกิเลส ตัณหา อุปาทาน เรียกว่า"ขีณาสโว" ผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว แล้วบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ญาณเป็นเครื่องช่วยให้ตรัสรู้อริยสัจ 4 และตรัสรู้แจ้งโลก และทรงบรรลุความเป็นพระพุทธเจ้า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในยามรุ่งอรุณแห่งคืนวันเพ็ญเดือนวิสาขะ เมื่อ 2600 ปีที่ผ่านมา..
เทศนาธรรมจาก
พระเทพญาณมงคล
หลวงตาเสริมชัย ชยมงฺคโล
วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
อ.ดำเนินสะดวก
จ.ราชบุรี
บางตอนจากเทศนาธรรมเรื่อง
"ปฏิบัติตามพระองค์"
โฆษณา