23 มิ.ย. 2022 เวลา 21:03 • ปรัชญา
“ไม่ให้หลง ไม่ให้ยึด ไม่ให้ติด”
พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามีอยู่ ที่เราคิดว่าเป็นของเรานั้น ไม่ใช่เป็นของเราอย่างแท้จริง เป็นเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้นเอง ร่างกายของเราก็เป็นของเราเพียงระยะหนึ่ง พออายุ ๘๐ ปี ๙๐ ปี ก็ต้องคืนเขาไป อาจจะต้องคืนไปก่อนนั้นก็ได้
บางคนอายุเพียงหนึ่งวันก็ตายไปก็มี หนึ่งเดือนตายไปก็มี หนึ่งปีตายไปก็มี ยี่สิบปี สามสิบปี สี่สิบปีตายไปก็มี ไม่แน่นอน เรื่องอายุขัยของคนเรา แต่เรื่องที่แน่นอนก็คือ ต้องคืนเขาไปทุกคน พวกเราทุกคนที่อยู่ในศาลานี้ สักวันหนึ่งก็ต้องคืนร่างกายนี้ไปสู่ดินน้ำลมไฟ ที่เป็นเจ้าของเดิม แต่ใจของเราไม่ได้ไปกับร่างกาย จะไปตามบุญตามกรรมต่อไป
ถ้าเชื่อพระพุทธเจ้า แล้วทำแต่สิ่งที่ดีที่งาม ละเว้นจากการทำบาปทำกรรม เวลาร่างกายแตกดับไป ก็จะไปสู่ที่ดี สู่สุคติ เป็นความจริงที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ แล้วนำมาสั่งสอนพวกเรา ผู้ที่ได้ยินได้ฟังแล้วนำไปปฏิบัติตาม
ก็จะได้รับผลประโยชน์ที่ดีเช่นเดียวกับพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ที่เชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามีอยู่นี้ ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวเรา ก็พยายามตัดความยึดติดในร่างกาย ในสมบัติต่างๆ มีทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองมากน้อยเพียงไร ก็สละให้ผู้อื่นหมด
แล้วก็ออกบวช อยู่แบบนักบวช มีเพียงแต่ปัจจัยสี่ไว้คอยดูแลรักษาร่างกายเท่านั้น
ส่วนจิตใจก็มีธรรมะที่เกิดจากการปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิเจริญปัญญา ทำจิตใจให้สงบ เพื่อกำจัดความโลภ ความโกรธ ความหลง ที่คอยฉุดลากให้ไปทำบุญ ให้ไปทำบาป ให้ไปเวียนว่ายตายเกิด ในภพน้อยในภพใหญ่ให้หมดสิ้นไป จนใจสะอาดบริสุทธิ์ กลายเป็นพระอรหันต์ เป็นนิพพานขึ้นมาแล้ว ใจก็ไม่ต้องไปเกิดอีกต่อไป ไม่ต้องไปทุกข์ ไม่ต้องไปทุกข์กับการแก่ การเจ็บ การตาย การพลัดพรากจากกัน เหมือนที่พวกเรากำลังทุกข์กันอยู่
เวลาที่เราสูญเสียญาติพี่น้อง คนที่เรารักไป เราก็ร้องห่มร้องไห้ กินไม่ได้นอนไม่หลับกัน เพราะหลงยึดติดร่างกายของคนนั้นคนนี้ว่าเป็นพี่น้องของเรา เป็นญาติของเรา แต่ความจริงแล้วเขาเป็นเหมือนต้นไม้ต้นหนึ่งเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย ต่างกันตรงที่ร่างกายมีใจมาครอบครอง จึงทำให้ร่างกายนี้พูดได้ ทำได้ มีความรู้สึก
แต่ผู้ที่พูด ผู้ที่ฟัง ผู้ที่มีความรู้สึกนี้ไม่ใช่ร่างกาย เป็นใจต่างหาก ถ้าร่างกายไม่มีใจเมื่อไหร่แล้ว ก็จะไม่รู้สึกอะไร จะฟังอะไรไม่ได้ยิน จะไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น ลองไปพูดกับคนตายดู ลองไปสะกิดร่างกายของคนตายดู เอาเข็มไปทิ่มร่างกายของคนตายดู จะสะดุ้งขึ้นมาหรือไม่ จะไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้เลย เหมือนต้นไม้ เอามีดไปฟันก็จะไม่มีอาการสะดุ้ง เพราะไม่มีการรับรู้นั่นเอง เพราะไม่มีผู้รับรู้ในต้นไม้
ร่างของคนตายก็เหมือนต้นไม้ เพราะไม่มีใจผู้รับรู้อยู่กับร่างกายแล้ว จะเอาไปทำอะไรก็ไม่เดือดร้อน จะเอาไปฝังก็ไม่เดือดร้อน จะเอาไปเผาก็ไม่เดือดร้อน เพราะใจผู้เป็นเจ้าของผู้ครอบครอง ไม่ได้อยู่ในร่างนั้นแล้ว ได้ออกเดินทางไปสู่ร่างใหม่แล้ว จะได้ร่างอะไรก็ขึ้นอยู่กับบุญกับกรรมที่ทำไว้
นี่คือความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เรารู้กัน ไม่ให้หลง ไม่ให้ยึด ไม่ให้ติด ไม่ต้องกลัวว่าร่างกายจะเป็นอะไรไป ไม่ต้องเสียดาย ถึงเวลาจะเป็นอะไรก็ให้เป็นไป แต่ขณะที่ยังอยู่ก็ดูแลรักษากันไป เพราะยังต้องอาศัยร่างกายมาช่วยทำใจให้หลุดพ้นจากความหลง จากความทุกข์ จากการเวียนว่ายตายเกิด
ถ้าไม่มีร่างกายก็จะไม่สามารถมาฟังเทศน์ฟังธรรม ทำบุญทำทาน รักษาศีล นั่งสมาธิ ปฏิบัติธรรมได้ เราจึงต้องดูแลรักษาร่างกายนี้ให้ดี เพื่อจะได้เอามาช่วยเหลือจิตใจให้ได้ปฏิบัติธรรม เพื่อจะได้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด
อย่าเอาร่างกายไปทำในสิ่งที่ไร้สาระ ไร้คุณไร้ประโยชน์ ไปสะสมลาภยศสรรเสริญสุขต่างๆ ที่ไม่ได้เป็นที่พึ่งของเรา แต่จะทำให้เราหลง ทำให้มีความทุกข์มากยิ่งขึ้นไป .
กำลังใจ ๒๙ กัณฑ์ที่ ๒๘๘
๒๗ มกราคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
โฆษณา