2 ก.ค. 2022 เวลา 09:29 • ข่าวรอบโลก
JP Morgan บอกว่าน้ำมันอาจจะขึ้นไปถึง 380 เหรียญต่อบาร์เรล... เป็นข่าวปั่นหุ้นและ ไร้สาระสุดๆ
2
สมมติฐานที่กล้าพูดถึงราคาน้ำมันที่ 380 เหรียญต่อบาร์เรลหารัสเซียเลิกส่งน้ำมัน.. น่าจะเป็นกรณีสงครามโลกครั้งที่ 3 ราคานี้ก็อาจจะไม่ถึงด้วยซ้ำเพราะว่า แม้ supply จะลด แต่ demand มันจะหายไปจากตลาดยิ่งกว่า โดยเฉพาะตะวันตกกับสหรัฐ
1
การที่น้ำมันจะขึ้นไปถึง 150 -180 เหรียญต่อบาร์เรล เป็นกรณีที่น่าจะเลวร้ายที่สุดแล้วต่อให้รัสเซียหยุดการส่งน้ำมันไปที่ยุโรปก็ตามเถอะ
2
แล้วถึงจะขึ้นไปถึง 150 เหรียญหรือ 180 เหรียญต่อบาร์เรลนั่นก็จะเป็นช่วงสั้นสุดๆซึ่งเอาไว้เก็งกำไรล้วนๆ
ข่าวที่ JP mogan นำเสนอออกมาในงวดนี้ชัดเจนหรือว่าเป็นข่าวปั่นจากทางกองทุนที่ใช้ JP Morgan ออกมาเป็นผู้จุดชนวนในการปั่นราคาน้ำมันล้วนๆ
การที่น้ำมันขึ้น ไปถึงแค่ 130 เหรียญต่อบาร์เรล น่าจะทำให้ inflation ของทางยุโรปและของสหรัฐ พุ่งเกิน 12% หรืออาจจะถึง 15% ซึ่งเคสนี้เกิดขึ้นเร็วที่สุดควรจะเป็นควอเตอร์ที่ 4 หรือไม่ก็ปลายควอเตอร์ที่ 3 ช่วงเข้าสู่หน้าหนาวยุโรปที่รัสเซียอาจเริ่มหยุดก๊าซและน้ำมันเข้าสู่ตลาดยุโรป 100%
น้ำมันจะขึ้นแต่ละครั้งตลาดจะเจอเบรกเกอร์ สารพัดอย่างทั้งจากเรื่องการเมืองภายในประเทศจาก Fund flow ที่อยู่ในระบบของตลาดทุนใช้เป็นตัวกำหนด การขึ้นลงราคาของสินค้า community
1
ปัจจัยเรื่องการเมืองซึ่งจะเป็นปัจจัยแรกๆที่ทางรัฐบาลของแต่ละประเทศที่เกี่ยวข้องโดยตรงในการแซงชั่นจะถูกความกดดันสูงสุดถ้าหาก inflation ของ EU และ US เกิน 10%
inflation 2 digit หากเกิดขึ้นในเฉพาะโซนยุโรปกับโซนอเมริกานั่นจะทำให้ประเทศแทบจะล้มละลาย เพราะว่า inflation แบบรุนแรงเหมือนในยุโรปและสหรัฐนั้น ไม่ได้เกิดทั่วโลก แล้วมันจะทำให้ความสามารถทางการแข่งขันของสินค้าในยุโรปและสหรัฐจะพังลงอย่างไม่มีชิ้นดี
ลองคิดดูสิว่าสินค้าของคุณใน EU ซึ่งส่วนใหญ่ก็ผลิตใน EU ราคาขึ้นเอาขึ้นเอาเพราะว่าข้อจำกัดทางด้านพลังงานและจำนวนโรงงานที่ยังสามารถเหลืออยู่ในระบบน้อยลงน้อยลงเนื่องจากต้องปิดกิจการไปจากต้นทุนที่สูงขึ้นและไม่สามารถขายออกได้ สิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดปัญหาสังคมต่อไปเพราะว่าคนตกงานอย่างมหาศาลในกลุ่ม EU
เมื่อ 2 เดือนที่แล้ว ทาง โรงงานปุ๋ยที่ใหญ่ที่สุดในสหราชอาณาจักรต้องปิดตัวลงเพราะว่าราคาพลังงานสูงเกินเหตุ และอีกหลายโรงงานที่ต้องใช้พลังงานเป็นปัจจัยในการดำเนินกิจการก็กำลังพังลงเช่นกัน
1
ราคาพลังงานและอาหารที่สูงเกินเหตุนอกจากจะทำให้กลุ่มอุตสาหกรรมใน EU อาจจะต้องพังทลาย เนื่องจากของแพง แถมค่าแรงก็ขึ้นไม่ได้มีปัญหาเรื่องขาดแคลนอาหาร พวกคุณคิดว่าประชาชนของประเทศพวกเขาจะทนรับสภาพหรือว่าจะออกมาต่อต้าน ..
1
การประท้วงในยุโรปขณะนี้ก็มีแทบจะทุกประเทศ
การที่รัฐบาลในยุโรปตะวันตกจะสามารถทนต่อฝ่ายค้าน รายการชุมนุมของประชาชนของประเทศตัวเอง จากเรื่องเศรษฐกิจที่ดำดิ่งถึงขนาด inflation พุ่งแตะ 12% นั่นก็น่าเหลือเชื่อแล้ว
ถ้าหากเมื่อใด inflation สูงเกิน 15% นั่นก็หมายความว่าตลาดทุนทั้งในยุโรปและสหรัฐแทบจะพังทลายเพราะว่าดอกเบี้ยที่ทางธนาคารกลางสหรัฐและ ธนาคารกลางยุโรป จะต้องขึ้นดอกเบี้ยเพื่อฉลองเงินเฟ้อและดอกเบี้ยนั้นอาจจะสูงถึง 10%
ดอกเบี้ยขนาดนี้พวกคุณคิดว่าจะมีกิจการไหนในยุโรปหรือสหรัฐจะรอด จากการที่ต้องรับดอกเบี้ยขนาดนี้ และยอดขายเริ่มต่ำเตี้ยเรี่ยดิน กิจการทั้งหลายถูกหมุนโดยเงินกู้เกือบ 80% ของกิจการทั้งโลก
1
และสิ่งสำคัญสำหรับตลาดทุน ดอกเบี้ยขนาดนี้จะมีใครกู้มาเล่นใน ตลาดทุนอีก นั่นแปลว่าเงินจะออกจากระบบตลาดทุนแทบจะหมด Dow Jones จะกลับไปต่ำ 20,000จุด อีกรอบนึง และถ้าในกรณีเกิด crisis ในสหรัฐเผลอๆจะไปต่ำกว่า 15,000จุด เพราะ นอกจากจะไม่มีคนเอาเงินมาเล่นมาปั่นแล้ว ทุกกิจการจะเกิดความเสี่ยงว่าจะล้มละลายทั้งหมด ส่วนคริปโตไม่ต้องพูดถึง!!! คุณคิดว่าประชาชนของประเทศพวกเขาจะยอมให้เกิดเรื่องแบบนี้ไหม
1
เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นดังเกิดขึ้นเฉพาะในส่วนของกลุ่มสหภาพ EU และสหรัฐที่รุนแรงกว่าชาวบ้านแต่ในส่วนของจีนและฝั่งเอเชียรวมถึงญี่ปุ่นอาจจะไม่รุนแรงขนาดนี้
ในขณะที่กลุ่ม EU และสหรัฐ inflation พุ่งทะลุ 8-9% ไปแล้ว ในส่วนของจีนเงินเฟ้อยังเพิ่งจะอยู่ที่ 2% อยู่เลย เพราะน้ำมันและพลังงานที่เป็นตัวแปรของ inflation ครั้งนี้ทางจีนกับอินเดียแทบจะไม่โดนเลยเพราะว่าล็อคราคากับรัสเซียไปแล้ว
1
จากรูปข้างบนจะเห็นได้ว่า ของทางยุโรปและทางสหรัฐที่แพงอยู่แล้วก็จะแพงขึ้นไปอีก 8-9% ในช่วงนี้ ส่วนของประเทศจีนที่สินค้ามันถูกอยู่แล้วก็ไม่ได้แพงขึ้น นั่นหมายความว่าช่องว่างที่มันเคยมีอยู่แล้วระหว่างจีนกับยุโรปหรือทางสหรัฐก็จะห่างขึ้นไปอีก แล้วถ้า inflation ปีนี้ระหว่างจีนกับสหรัฐและยุโรปห่างเกิน 10% นั่นหมายความว่าสินค้าจากจีนที่คุณภาพเริ่มจะใกล้เคียงกันกับตะวันตกแต่ราคาห่างกันกำลังจะเกิน 50% เกือบทุกรายการมันจะทำให้ 5-10 ปีหลังจากนี้ทางยุโรปและสหรัฐจะเป็นเบี้ยล่างทางด้านเศรษฐกิจต่อจีนแทบจะถาวร
2
ในระยะยาวไม่ว่าจะดิ้นรนยังไงก็ตาม ไม่มีใครที่จะชนะของถูกและดีได้หรอก.. เงินเฟ้อ.... ของถ้าขึ้นราคาแล้ว ไม่มีวันลงอีก !!
1
ดอกเบี้ยถ้าเกิดขึ้นนั่นก็หมายความว่าดอกเบี้ยพันธบัตรก็ต้องขึ้นและก็หมายความว่าหนี้ของประเทศก็จะมากขึ้น ต้นทุนกู้ยืมมมากขึ้นหนี้สินมากขึ้น สหรัฐขณะนี้ก็เป็นหนี้ชาวบ้านโดยเฉพาะญี่ปุ่นกับจีนมากถึง 2,000 ล้าน US Dollar
เพราะหากดอกเบี้ยพันธบัตรจำเป็นต้องขึ้นต่อไปเรื่อยๆนั่นก็หมายความว่าทางจีนและญี่ปุ่นก็จำเป็นต้องเททิ้งพันธบัตรที่มีอยู่ในมือแล้วทำ Mark to Market เพื่อไถ่ถอนพันธบัตรดอกเบี้ยต่ำ ไปเก็บพันธบัตรดอกเบี้ยสูง
ทางการจีนกับญี่ปุ่นคงยังไม่ถอนพันธบัตรสหรัฐออกจากระบบเพราะว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐยังคงมีความจำเป็นต้องใช้อยู่ การซื้อพันธบัตรสหรัฐยังจำเป็นเพื่อสร้างเสถียรภาพให้กับค่าเงินหยวนและค่าเงินเยนของทั้งสองประเทศที่ยังเน้นในเรื่องของการส่งออก
กลายเป็นว่าไม่ว่าสงครามจะออกมาในรูปแบบไหน จีนจะครองเศรษฐกิจโลก และไกลถึงการครองความเป็นหนึ่งของโลก..และ inflation คือเครื่องมือที่ทางรัสเซียละเลงใส่ ยุโรปบรรจงส่งจีนให้เป็นผู้ครองโลกโดยปริยาย
1
ดังนั้นหากจะดูกันคร่าวๆก็จะเห็นได้ว่าโอกาสที่ราคาน้ำมันจะกระเด็นทะลุ 150 เหรียญต่อบาร์เรล ยังเจออุปสรรคอีกมากมาย การเมืองภายในประเทศของประเทศที่เสียเปรียบ และหาเรื่องเกี่ยวข้องโดยตรงกับสงครามนี้ น่าจะถึงคราวเปลี่ยนแปลงก่อนที่ราคาน้ำมันจะกระโดดไปอีกที่ 180 เหรียญต่อบาร์เรล
รวมถึงความพยายามของรัฐบาลของประเทศนั้นๆก็จำต้องขึ้นดอกเบี้ยเพื่อไม่ให้ inflation ทะลุขึ้นไปและทำให้เงินในระบบตลาดทุนออกจากการเก็งกำไรพลังงาน ราคาพลังงานที่ผ่านมา 40-50 ปีไม่เคยมีการขึ้นทะลุจากตัว supplier โดยตรงแต่เป็นการขึ้นจาก การเก็งกำไรใน ตลาดทุนแทบทั้งสิ้นจะเห็นได้ว่า ปัจจัยหลายๆอย่าง ยังมีตัวฉุดอยุ่เป็นระยะๆ และไม่ได้เอื้อให้ทะลุไปไกลมากนัก
โฆษณา