Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Siamrath
•
ติดตาม
2 ก.ค. 2022 เวลา 10:14 • การเมือง
“ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” ปลุกพลัง เปลี่ยนเมือง เลิกขัดแย้ง
หมายเหตุ : “สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์” สัมภาษณ์พิเศษ “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ถึงแนวคิดและการทำงาน ภายหลังเข้าทำหน้าที่ดูแลพี่น้องประชาชนชาวกทม. เป็นระยะเวลาเกือบ หนึ่งเดือน โดยเผยแพร่ผ่านช่องยูทูบ Siamrath เมื่อวันที่ 25 มิ.ย.65 ที่ผ่านมา มีสาระที่น่าสนใจดังนี้
-การที่กทม.ประกาศ พื้นที่สาธารณะ 7 แห่งเปิดให้ผู้ชุมนุมสามารถเข้ามาใช้ได้ จุดนี้มีแนวคิดเริ่มจากอะไร อยากให้ขยายความ
นี่ถือเป็นประวัติศาสตร์ของกทม.ที่เรามีการประกาศพื้นที่ชุมชนสาธารณะ ซึ่งเป็นการประกาศตามมาตรา 9 ของพ.ร.บ.ชุมนุมในที่สาธารณะ ซึ่ง อนุญาตให้พนักงานราชการประกาศพื้นที่ชุมนุมได้ คำว่าประกาศมีประโยชน์อย่างไร ก็คือผู้ที่มาชุมนุมไม่ต้องแจ้งขออนุญาตกับ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็สะดวกขึ้น แต่การชุมนุม ต้องทำตามกฎหมายทั้งในเรื่องเนื้อหา หรือการทำตามกรอบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ในส่วนของ กทม.มีหน้าที่จัดพื้นที่ อำนวยความสะดวก จัดอุปกรณ์ให้เช่นเครื่องตรวจอาวุธ จัดหาห้องน้ำให้ แต่ต้องบอกก่อนว่าการจัดพื้นที่ให้ ไม่ใช่การบังคับแต่เป็นทางเลือก ส่วนผู้ชุมนุมจะมาหรือไม่มา ก็แล้วแต่เขา
กทม.ประกาศพื้นที่ให้ 7 จุด แล้วแต่ขนาดพื้นที่ แล้วก็มีอยู่กรุงเทพฯ 6 โซน ส่วนกลางเรามีให้ 2 จุดทั้งดินแดง ทั้งลานคนเมือง แต่ละแห่งจะมีคนไม่เท่ากัน อย่างลานคนเมือง มีพื้นที่ 3 พันตารางเมตร คิดประมาณ 1 พันคน ก็จะมีขนาดของคนในแต่ละพื้นที่ต่างกันไป
ความจริงเรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องใหม่ ที่จังหวัดบุรีรัมย์ได้ประกาศตั้งแต่ปี 2563 มาแล้ว ฉะนั้นหลายจังหวัดก็ทำ ต้องบอกว่าเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน ที่จะให้มีพื้นที่ ให้ประชาชนได้แสดงออก ได้แสดงความเห็น โดยอาจจะไม่ใช่เรื่องการเมืองอย่างเดียว แต่เป็นประเด็นอื่นๆก็ได้ ทั้งเรื่องการใช้ชีวิต เรียกร้องเรื่องอื่น หรือเรื่องอีไอเอโครงการ ถ้าอยากจะมาคุยเอามาคุยตรงนี้ได้ไหม เรื่องปัญหาในเขตตัวเอง
ผมว่าเป็นพื้นที่หนึ่ง ที่ทำให้คนมีพื้นที่แสดงออกได้นั้นเป็นประโยชน์กับระบอบประชาธิปไตยด้วย เพราะไม่ต้องไปชุมนุมกันอยู่กลางถนน ไม่ต้องไปกีดขวาง สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น ให้แสดงออกได้ หลักง่ายๆ คือหากต้องการใช้พื้นที่ ก็ขอให้แจ้งกทม.ก่อน 24 ชั่วโมง
เพื่อเราจะได้เตรียมตัวให้ถูกต้อง เอาทรัพยากรมาลง แต่สุดท้ายแล้วไม่ได้แจ้ง และกฎหมายไม่ได้ห้ามไว้ แต่เราอาจให้บริการในช่วงแรกตะกุกตะกักนิดหน่อย เพราะเราไม่ได้เตรียมอุปกรณ์ไว้ ถามว่าไม่กลัวหรือ เพราะอาจจะ เกิดเหตุการณ์ยุยง ผมว่าเราต้องมองบวก ประชาชนเองก็ไม่อยากให้มีเรื่องรุนแรง เราเองก็เตรียมมาตรการต่างๆที่เกี่ยวข้อง
“ผมว่านี่คือพลังที่จะเปลี่ยนเมืองได้ เพราะเราก็มาด้วยความไว้วางใจกัน เรามาด้วยการให้เกียรติ เราให้พื้นที่นะ แต่ขอให้คนมาชุมนุมช่วยดูแลทรัพย์สมบัติ ดูแลคน อย่าให้ไปล่วงละเมิดคนอื่น ซึ่งก็เป็นกฎหมายตามปกติ”
-หากมีเหตุการณ์นำไปสู่ความรุนแรงมีการทำลายข้าวของ ก็เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะต้องดูแล
ต้องว่าไปตามกฎหมายอยู่แล้ว เพราะถึงแม้เราไม่ประกาศเขาก็อาจจะชุมนุมทำความรุนแรง ทำความเสียหายได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องของกฎหมาย ตำรวจเป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งเราได้มีการประสานงานกับตำรวจตลอด
-กทม.จะประเมินต่อหรือไม่ว่า ภายหลังจากที่เราประกาศพื้นที่ 7 แห่งให้ชุมนุมได้แล้วผ่านมา 3 เดือน 6 เดือนจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือว่ามีการปรับตามมาหรือไม่
เราจะใช้เวลาประเมินประมาณ 1เดือน ถ้ามีปัญหา สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนไม่ได้เกิดประโยชน์ตามที่ตั้งใจไว้ เราก็ทบทวนว่า เราควรจะยกเลิกประกาศนี้หรือไม่ ซึ่งตรงนี้จะเป็นอำนาจของกทม.โดยตรง
-หรือแม้ว่ามีประชาชนในบริเวณใกล้เคียงพื้นที่ 7 แห่ง มีปฏิกิริยาเราก็สามารถที่จะเอามาทบทวนได้
ใช่ แต่ก็อย่างที่บอก มันมีเรื่องเสียง ซึ่งต้องขออนุญาต มันก็มีมาตรการควบคุมอยู่แล้ว ไม่เกินกี่เดซิเบล แต่ผมเชื่อว่าอย่างลานคนเมือง ชื่อลานคนเมือง ถ้าเกิดว่าคนเมืองขอใช้ เราก็ต้องให้เขาใช้ เพราะเป็นลานคนเมือง
- ล่าสุดมีประเด็นที่น่าสนใจ คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกระจายอำนาจ การปกครองส่วนท้องถิ่น และการบริหารราชการรูปแบบพิเศษ สภาผู้แทนราษฎร มีมติส่งเรื่องถึงกระทรวงมหาดไทย ให้พิจารณาเรื่องการเลือกตั้งผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ เชื่อว่าส่วนหนึ่งมาจากการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ที่เพิ่งผ่านพ้นไป วันนี้เราพร้อมมากน้อยแค่ไหน กับเรื่องนี้
ผมว่าเราไม่มีทางพร้อมร้อยเปอร์เซ็นต์ เราต้องลองเดินหน้า แล้วการเลือกตั้งก็เป็นสิ่งที่ดี คือผู้ว่าฯที่มาจากส่วนกลางจะเข้าใจระเบียบกฎระเบียบมีความเชื่อมโยง แต่จริงๆแล้วผมเชื่อว่าคนที่มาจากการเลือกตั้งมีความผูกพันกับพื้นที่ จะมีความต่อเนื่องในอีกมุมมองหนึ่ง ส่วนผู้ว่าฯ ที่มาจากการแต่งตั้ง บางครั้ง เขาอยู่จังหวัดนั้น 2ปีแล้วต้องย้ายไปจังหวัดใหม่ ซึ่งความผูกพันอาจจะไม่ลึกเท่าคนที่มาลงสมัครเลือกตั้ง
ในฐานะที่ผมเป็นผู้ว่าฯ กทม. ผมก็ต้องเห็นด้วย กับการที่จังหวัดอื่นจะมีผู้ว่าฯเหมือนกัน และผมว่าอาจจะได้คนดีๆที่เข้าใจพื้นที่เป็นอย่างดี และพร้อมจะอยู่ยาว คือไม่ได้มาแล้วก็จะย้ายไปตำแหน่งที่สูงขึ้น แต่มาเพื่อทำหน้าที่ดูแลเมือง
-หลังจากรับตำแหน่งมาอย่างเป็นทางการ เกือบหนึ่งเดือนเราประเมินกระแสสังคม และการตอบรับเราอย่างไรบ้าง
ผมว่ามันเป็นช่วงฮันนีมูน พอเราเลือกตั้งมาอาจจะทำให้คนยังตื่นเต้นกับผลเลือกตั้งอยู่ แต่เชื่อว่า ไม่นานความรู้สึกนั้นก็คงลดลง และแน่นอนว่า จากนี้ไปจะเป็นเรื่องของผลงาน ตอนนี้เราก็ไม่ได้หลงไปกับกระแส เราต้องรีบทำงานอย่างหนักเลย เพราะเมื่อไรที่กระแสหมดเราจะอยู่ได้แค่ผลงานอย่างเดียว ผมก็พยายามทำตลอด ทำระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว
แต่ผมโชคดี ทีมที่เราเลือกมาเองทุกคนทำงานได้ดีหมด ทำให้มีงานก้าวหน้ามาเป็นระยะๆ นอกจากนี้ เรามีนโยบายกว่า 200 นโยบาย ซึ่งเขียนชัดเจน อยู่ในเว็บไซต์ ทำให้ทุกคนมีทิศทางในการเดิน เพราะเรามีแผนละเอียด ซึ่งในอนาคตถ้าไม่มีอย่างนี้ ก็เดินไปยาก เพราะเราไม่รู้เลยว่า ต้องมาคิดแผนอีกว่านโยบายนี้จะเอาแผนอะไรมารองรับ เพราะจริงๆแล้วมันเป็นข้อดีข้อหนึ่ง
เมื่อเราเอาแผนไปใส่ไว้อยู่บนเว็บไซต์ ข้าราชการสามารถเอาแผนตรงนี้ไปทำงานต่อได้เลย โดยไม่ต้องสั่งการ ซึ่งเราก็แปลกใจ ซึ่งข้าราชการเก่งๆในกทม.มีมาก เราเอาแผนใส่เว็บไซต์ ตอนนั้นกกต.ยังไม่ได้ประกาศรับรองเราเลย แต่ก็พบว่ามีคนเอาแผนไปเริ่มคิดแล้วว่า ทำอย่างไร เพื่อให้สอดคล้องกับแผนนี้ ต้องบอกว่าเรามีข้าราชการเก่ง ๆ มากมายในกทม.
-อยากให้พูดถึง Mindset ที่เราควรมี สำหรับสถานการณ์โลก สถานการณ์สังคม วันนี้
ผมว่าจริงๆแล้ว ถ้าพูดจริง Mindset ในภาพรวม ก็จะมีสองแบบ คือ Fixed Mindset กับ Growth Mindset ซึ่ง Fixed Mindset ก็คือว่า เชื่อในวาสนา เชื่อในความเก่งของตัวเอง ฉันเป็นคนเก่ง ฉันมาถึงตรงนี้ได้เพราะฉันเป็นคนเก่ง ฉลาดกว่าคนอื่น อย่าง Growth Mindset คือว่า เชื่อมันในความพยายาม ถามว่าเรามาถึงตรงนี้ได้ไม่ใช่เพราะเราเก่ง และฉลาด แต่เพราะเราทำงานหนัก เราขวนขวายหาความรู้ ตามแนวคิดที่ว่า คนที่เป็น Growth Mindset นี่ มีโอกาสที่จะพัฒนาตัวเองมากกว่า เพราะเขาจะไม่หยุดการเรียนรู้
แต่ถ้าเป็น Fixed Mindset ก็รู้สึกว่า เรารู้ว่าเราเก่ง เราก็จะหยุดแล้ว เพราะเรามาอย่างนี้เพราะเราเก่ง เราไม่ต้องทำอะไรต่อแล้ว แต่พอเราพลาดเราจะรู้สึกว่า เราไม่ได้เก่งจริงหรอก มันก็มีเรื่องอื่นที่ดีกว่า อันแรกที่ต้องการคือ Growth Mindset
ประการที่สอง คือเรื่องแนวคิด เรื่องการเห็นประโยชน์ส่วนรวม อันนี้สำคัญ ผมก็พยายามเน้นเสมอว่า เวลาคนมาเจอเราแสดงความยินดี แล้วบอกเราว่า “ ฝากกรุงเทพฯด้วย” แต่ผมจะบอกว่า “มาช่วยกัน อย่าฝากเรา” ถ้าเราเห็นประโยชน์ส่วนรวม เห็นประโยชน์ของสังคม ของชุมชน และก็มาช่วยกันทำเมืองให้ดีขึ้น จุดนี้จะเป็นค่านิยมที่ดี
และประการที่สาม คิดว่าเรื่องเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม เรื่องขยะ เรื่องฝุ่นมลพิษทั้งหลาย หลายๆเรื่องมันเกิดมาจากวินัยเราเอง ว่าเราทิ้งขยะไม่เป็นที่ หรือไม่ เราปล่อยก๊าซมลพิษหรือไม่ ผมว่าการเริ่มแก้ไข สร้างค่านิยม ก็ต้องมาจากเรื่องสิ่งแวดล้อมนี้ด้วย
-ที่ผ่านมาแสดงว่าเรายังไม่เห็นความร่วมมือกัน หรือยังเป็นเพราะต้องการ “แรงผลัก” ให้ขยับขึ้นไปอีก
อันนี้ก็สำคัญ เพราะบางครั้ง อย่างเรื่องการเมือง เราไปเน้นเรื่องอารมณ์ ความรู้สึกเยอะ ก็พยายามปลุกว่า อันนี้ไม่ดี อันนี้ดี เพราะใช้อารมณ์เยอะ ก็จะเกิดความแตกแยก จะไม่ค่อยร่วมมือเท่าไหร่ ทั้งที่เรื่องการร่วมมือกัน ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องการเมืองเลย เป็นเรื่องที่แบบระดับท้องถิ่น แต่กลายเป็นว่าเราไปเน้นเรื่องความขัดแย้งสมัยเก่า ซึ่งสุดท้ายแล้วก็ทำให้ประเทศเดินลำบาก
แต่ผมเชื่อว่าถ้าเรามองไปข้างหน้า เราลืมอดีต หรือเอาอดีตเป็นบทเรียน อย่าไปทะเลาะ อย่าไปโกรธกัน ร่วมมือกัน หลายอย่างเราแก้ปัญหาได้ มีคนถามว่าเป็นเพราะเราทะเลาะกันหรือเปล่า ก็เป็นไปได้มีส่วน เพราะเมื่อก่อน พอเราทะเลาะกัน ก็จะมีคนได้ประโยชน์ จากการที่เราทะเลาะกัน จากการที่เราไม่ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
-ก็เลยทำให้ภาพที่ท่านผู้ว่าฯเข้าทำเนียบฯ แล้วก็ได้ถ่ายรูปกับท่านนายกฯ เหมือนกับเป็นคำตอบ เป็นคำอธิบายในเชิงบวก
ดีนะ...ผมว่าท่านให้เกียรติเรามากเลย เพราะเราก็เหมือนกับเป็นผู้น้อย เพราะเราเป็นแค่ระดับท้องถิ่น ท่านคือหัวหน้าของระดับประเทศ หัวหน้ารัฐบาล ท่านก็ให้เกียรติเรา ดีครับถือว่าวันนั้นเป็นวันที่ดี ก็คือว่าเป็นรูปแบบที่ดี อดีตช่างมันเถอะ เรามองไปถึงปัจจุบันและอนาคต ทำปัจจุบันกับอนาคตที่ดีที่สุด
-อยากฝากอะไรถึงคนกรุงเทพฯบ้าง
ก็ต้องขอบพระคุณที่กรุณา ทั้งคนที่เลือกและไม่เลือกนะ ที่ให้เราเป็นตัวแทนของผู้สมัครทั้งหมดมาเป็นผู้ว่าฯกทม. ซึ่งเราจะทำให้ดีที่สุด ผมว่ากรุงเทพฯเป็นเมืองที่สวยงาม มีความหวัง ผมว่าเราไม่ได้แพ้ กับเมืองใดในโลกนี้ แต่ขอให้เราร่วมมือกันร่วมกันทำดูแลคนรอบตัว ทำหน้าที่เราให้ดีที่สุด คิดถึงคนอื่นรอบๆตัวบ้าง สุดท้ายแล้วมันจะต่อเป็นภาพรวมแล้วกรุงเทพฯจะดีขึ้นได้ ก็ฝากทุกคนด้วย ช่วยกัน ร่วมมือกัน
4
2
บันทึก
4
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย