15 ก.ค. 2022 เวลา 05:30 • สุขภาพ
รู้ลึกและน่าสนใจ !! สิงคโปร์คุมโควิดได้กำลังดี ไม่ตึงไม่หย่อนเกินไป เรื่องเล่าจากคนไทยที่ทำงานในสิงคโปร์นานกว่า 12 ปี และอยู่สิงคโปร์ตลอดช่วงที่โควิดระบาด
1
เป็นที่ทราบกันดีว่า สิงคโปร์ซึ่งเป็นประเทศเล็กๆอยู่บนเกาะด้วยพลเมือง 5.9 ล้านคน ขาดแคลนไปเสียแทบทุกอย่าง โดยเฉพาะทรัพยากรธรรมชาติ
ในวันที่ถูกให้แยกตัวออกจากมาเลเซีย คนทั้งเกาะตระหนกตกใจเสียขวัญมาก รวมทั้งผู้นำคือ นายลีกวนยูด้วย
เพราะทุกอย่าง สิงคโปร์ต้องพึ่งมาเลเซียทั้งหมด แม้กระทั่งน้ำจืด
จากวิกฤตดังกล่าว ในช่วงเวลาไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา สิงคโปร์ได้เร่งพัฒนาประเทศ จนได้รับการยอมรับเป็นที่หนึ่งของเอเชียในหลายด้าน และอยู่ในระดับต้นของโลก
โดยสิงคโปร์ได้เน้นทุ่มเทพัฒนาปัจจัยหลักเพียงประการเดียวก่อน คือคุณภาพของคน โดยทำให้เกิดพลเมืองคุณภาพ (เก่งและดี ซึ่งรวมถึงมีวินัยและรู้จักหน้าที่)
ส่งผลมาถึง เกิดการเมืองคุณภาพ และรัฐบาลคุณภาพในที่สุด
ทำให้สิงคโปร์เป็นประเทศชั้นนำของเอเชียและโลก
รายได้ของคนสิงคโปร์นั้นมากกว่าคนญี่ปุ่นและเกาหลีใต้
2
การศึกษาไม่ว่าจะเป็นคะแนน PISA ก็สูงมากของเอเชียและของโลก
มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ก็เป็นอันดับหนึ่งของเอเชียและติดอันดับหนึ่งใน 10 ของโลก
คนสิงคโปร์มีอายุยืนยาว มากกว่าค่าเฉลี่ยของคนในทวีปเอเชีย
เมื่อเกิดโรคระบาดขึ้นในปลายเดือนธันวาคม 2562 สิงคโปร์ก็เป็นหนึ่งในหลากหลายประเทศที่ไม่อาจจะหนีพ้นวิกฤตการณ์โรคระบาดไปได้
โดยได้มีวิกฤตการณ์ที่สำคัญคือ มีคนงานต่างชาติซึ่งมาทำงานในสิงคโปร์จำนวนมากติดเชื้อจนกระทั่งเป็นคลัสเตอร์ใหญ่
ในตอนนั้นสิงคโปร์ได้ใช้มาตรการเข้ม (ประชาธิปไตยครึ่งใบ) บังคับคนงานไม่ให้ทำงาน สั่งให้อยู่แต่ในหอพักและส่งอาหารสามมื้อเข้าไป
ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทางลบมากมายว่า คุณภาพของการส่งอาหาร และการควบคุมดูแลไม่ดี
แต่สุดท้าย สิงคโปร์ก็ควบคุมโรคโควิดได้ดีมาก มีผู้เสียชีวิตจำนวนน้อยมาก
ในปัจจุบัน สำหรับระลอกไวรัสโอมิครอน สิงคโปร์ก็เหมือนทุกประเทศคือ จำเป็นที่จะต้องตัดสินใจเดินนโยบายทางสายกลาง ผ่อนคลายมาตรการต่างๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและสังคม แต่ยังคงเข้มเรื่องมาตรการทางสาธารณสุขไปในเวลาเดียวกัน ซึ่งทำได้ไม่ง่ายนัก
มีรายละเอียดข้อมูล จากคนไทยที่ทำงานในสิงคโปร์กว่า 12 ปี และอยู่ในสิงคโปร์ตลอดช่วงที่มีการระบาดดังนี้
1) มาตรการกระตุ้นทางเศรษฐกิจ : สิงคโปร์ ได้เปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ และไม่บังคับให้ต้องสวมหน้ากากในที่สาธารณะ
แต่ในขณะเดียวกัน ก็เข้มงวดเรื่องมาตรการทางสาธารณสุข โดยการให้ความรู้ความเข้าใจที่ชัดเจนต่อเนื่องน่าเชื่อถือ จนคนสิงคโปร์เกือบทุกคนเข้าใจดี จึงยังใส่หน้ากากอยู่ แม้ไม่มีมาตรการบังคับ
ซึ่งเรื่องนี้มีคนสงสัยมาตลอดว่า ที่คนสิงคโปร์มีวินัยนั้น อาจเนื่องจากประเทศเข้มงวดมาก มีกฎหมายบังคับและบทลงโทษที่รุนแรง
แต่กรณีตัวอย่าง เรื่องการใส่หน้ากากครั้งนี้ ทำให้ความคิดเรื่องนี้เปลี่ยนไปมากพอสมควร
2) ประชาชนมีคุณภาพและวินัย : ทั้งนี้มาจากการศึกษา การอบรมเลี้ยงดู ตลอดจนสถานการณ์ปัจจุบันหน่วยงานของรัฐได้ให้ข้อมูลที่ทันสมัย น่าเชื่อถือ พร้อมที่จะทำให้คนสิงคโปร์ปรับพฤติกรรม
1
โดยจะมีการออกแถลงการณ์ทุกวันศุกร์ ถึงข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงไป พร้อมกับมาตรการที่จะขอให้ประชาชนดำเนินการ รวมทั้งมาตรการที่รัฐจะจัดให้ขึ้น
การแถลงดังกล่าวไม่บ่อยจนเกินไป และไม่สร้างความสับสน เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา สามารถทำได้ชัดเจนและเชื่อถือได้ ประชาชนจึงให้ความร่วมมืออย่างดี
3) หน้ากากป้องกันโรค : คนสิงคโปร์ทุกคนจะได้รับหน้ากากผ้า ย้ำนะครับว่าหน้ากากผ้า ไม่ใช่หน้ากากอนามัย ซึ่งใช้ได้นาน 60 วัน โดยทางรัฐบาลสิงคโปร์จะให้ประชาชนทุกคนสามารถนำบัตรประชาชนไปใช้กับเครื่องอัตโนมัติ จะได้หน้ากากผ้า 3 ชิ้น และสามารถรับใหม่ได้ทุก 2 เดือน หรือ 60 วัน
ส่วนหน้ากากอนามัยหรือ N-95 จะได้รับทันที เมื่อเข้ารับการฉีดวัคซีนหรือในกรณีที่ตรวจเอทีเคแล้วเป็นบวก
4) เอทีเค : จะส่งให้บ้านละ 10 อัน เป็นระยะตามสถานการณ์โรคระบาดของประเทศทางไปรษณีย์
แต่ถ้าตรวจพบเอทีเคเป็นบวก จะได้รับเอทีเคที่เพียงพอ ที่จะตรวจต่อเนื่องไปจนครบ 7 วัน
5) วัคซีน : รัฐดำเนินการให้ฉีดวัคซีนโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย โดยเป็น Pfizer หรือ Moderna อย่างน้อย 3 เข็ม ส่วนเข็มที่ 4 แนะนำฉีดในคนอายุ 50 ปีขึ้นไป
ส่วนผู้ใดสนใจจะฉีดวัคซีนตัวอื่น เช่นวัคซีนเชื้อตาย จะต้องเสียเงินเอง (ส่วนใหญ่จะเป็นคนจีน)
เด็กอายุ 6 ขวบขึ้นไป จะได้รับการฉีดวัคซีนฟรีเหมือนผู้ใหญ่
6) ระบบบริการสาธารณสุข
6.1 ถ้าตรวจเอทีเคเป็นบวกแล้วอาการน้อย จะเข้ารับการรักษาตัวที่แผนกผู้ป่วยนอก(OPD) จะได้รับยาลดไข้ แก้ไอ ลดน้ำมูก โดยไม่มียาต้านไวรัส แล้วกลับมากักตัวเองที่บ้าน พร้อมได้รับใบลาให้หยุดงาน 5 วัน
ในวันที่ 3 ให้ตรวจเอทีเคซ้ำ ถ้าเป็นลบ เมื่อครบ 5 วัน ให้ออกไปทำงานได้
ถ้าเอทีเควันที่ 3 เป็นบวก ให้กักตัวจนครบ 7 วัน แล้วทำงานได้ แม้ผลยังเป็นบวก (โดยมีงานวิจัยว่าไม่แพร่เชื้อแล้วแม้เอทีเคเป็นบวก)
2
6.2 มีอาการปานกลางหรือหนัก จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล จึงจะได้ยาต้านไวรัส
6.3 กรณีเป็นนักเรียน จะให้ไปโรงเรียนทุกวัน แต่งดกิจกรรมเสี่ยงทั้งหมด เหลือเฉพาะการนั่งเรียนในห้องเรียนเท่านั้น
นักเรียนทุกคนจะต้องมีผลเอทีเคเป็นลบทุกวัน จึงจะมาโรงเรียนได้ ถ้าผลเป็นบวก ต้องงดไปโรงเรียนทันที และจะไม่สามารถกลับมาโรงเรียนได้ จนกว่าจะมีผลเอทีเคเป็นลบ ซึ่งแตกต่างกับผู้ใหญ่ที่ เอทีเคเป็นบวกแล้ว 7 วัน จะกลับมาทำงานได้
7) การสื่อสารสาธารณะ : ขณะนี้รัฐบาลสิงคโปร์ได้เลิกรายงานสถิติเป็นรายวัน แต่แจ้งแนวโน้มที่ชัดเจนและเชื่อถือได้เป็นระยะ โดยไม่ต้องมีความเห็นว่าสถานการณ์กำลังจะดีหรือกำลังจะแย่ลงในอนาคต ซึ่งไม่แน่นอน เป็นการส่งสัญญาณ ณ ปัจจุบันที่รวดเร็ว ยอมรับความจริง
3
เช่น ในสัปดาห์นี้ ทางรัฐบาลสิงคโปร์ได้ออกมาแจ้งว่า มีผู้ติดเชื้อมากกว่าวันละ 10,000 ราย โดยที่ไม่ต้องกังวลแทนว่า ประชาชนจะตื่นตระหนก หรือจะทำให้สถานการณ์ของประเทศในสายตาต่างชาติจะดูไม่ดี
ด้วยหลักการดังกล่าว จึงทำให้การแถลงของสาธารณสุขสิงคโปร์ได้รับความเชื่อถือเป็นอย่างมาก ทั้งจากต่างประเทศ และจากประชาชนในประเทศ
จะไม่ค่อยมีผู้ตั้งคำถามหรือสงสัยว่า ทางการสิงคโปร์ปกปิด ปรับแต่ง กำหนดหลักเกณฑ์ขึ้นเอง เพื่อให้สาธารณะคล้อยตามแต่อย่างใด
กล่าวโดยสรุป จากกรณีศึกษาในสิงคโปร์
1) ทางการสิงคโปร์ ได้ส่งสัญญาณสาธารณะต่อเนื่อง ที่มีความน่าเชื่อถือ จึงทำให้ประชาชนปฏิบัติตามสัญญาณที่ทางการส่งออกมา ไม่ว่าสถานการณ์จะดีหรือไม่ดีอย่างไรก็ตาม
2) การส่งสัญญาณสาธารณะดังกล่าว ได้กระทำด้วยข้อมูลที่เป็นวิชาการ กระชับ ชัดเจน เข้าใจง่าย ปราศจากอคติ ทั้งทางบวกและทางลบ ไม่ละเอียดจนเกินไปที่ทำให้ประชาชนเบื่อหน่ายหรือสับสน ตามด้วยมาตรการที่สั้น เท่าที่จำเป็นที่จะให้ประชาชนให้ความร่วมมือ จึงได้ผลดี
3) นโยบายของสิงคโปร์ มีความพอเหมาะพอดี ไม่เข้มงวดเกินไป ไม่ผ่อนคลายมากเกินไป เช่น
มาตรการที่ผ่อนคลายคือ
ในที่สาธารณะไม่ต้องใส่หน้ากาก
แต่ที่เข้มงวดคือ
รณรงค์ให้ทุกคนใส่หน้ากาก
มาตรการที่ผ่อนคลายคือ
นักท่องเที่ยวต่างชาติไม่ต้องใส่หน้ากากในที่สาธารณะ
มาตรการเข้มงวดคือ คนสิงคโปร์ทุกคนมีวินัยจะใส่หน้ากากเท่าที่ทำได้
มาตรการผ่อนคลายคือ
นักเรียนไปโรงเรียนได้
มาตรการเข้มงวดคือ
นักเรียนสิงคโปร์จะต้องงดกิจกรรมทุกอย่างในโรงเรียนที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ
มาตรการผ่อนคลายคือ
เอทีเคตรวจเป็นบวกครบ 7 วันแล้วสามารถทำงานได้
มาตรการเข้มงวดคือ
นักเรียนทุกคน จะมาโรงเรียนได้ เอทีเคต้องเป็นลบเท่านั้น แม้ครบ 7 วันแล้วถ้ายังเป็นบวก ก็มาโรงเรียนไม่ได้
มาตรการผ่อนคลายคือ
ใช้หน้ากากผ้ากับประชาชนทั่วไป
มาตรการเข้มข้นคือ
จะให้หน้ากากอนามัยและ N-95 กับผู้ที่ติดเชื้อ หรือผู้ที่มารับวัคซีน
เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจมาก สำหรับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมีสภาพภูมิอากาศ ลักษณะอาหารการกิน ความเป็นอยู่ การใช้ชีวิต ที่เป็นเอเชียด้วยกัน ใกล้เคียงกับประเทศไทย
จึงอยู่ในวิสัยที่ประเทศไทย น่าจะสามารถนำมาปรับใช้ให้เกิดความเหมาะสมต่อไป
Reference
ผู้เขียนสัมภาษณ์โดยตรง หญิงไทยอายุ 46 ปี ทำงานทางด้านไอทีอยู่ที่สิงคโปร์มา 12 ปี พร้อมสามีที่เป็นวิศวกร และบุตร 2 คนอายุ 16 และ 14 ปี
โฆษณา