22 ก.ค. 2022 เวลา 06:53 • ปรัชญา
เห็นคนตายครั้งแรก เมื่อสมัยเรียนชั้นอนุบาล มีความรู้สึกตกใจ ใจสั่น สงสัยว่าตนเรามีตายด้วย ตอนหลังก็เห็นแม่ค้านั่งขายขนมจีน ถูกรถสิบล้อเบรคแตก วิ่งทับสมองกระจาย ตามเค้าดูงานศพพระที่เค้าเผา ที่สถานฌาปนสถาน ความที่เป็นเด็กไม่รู้เรื่อง เดินไปดู ตามกลิ่นเนื้อไหม้ เห็นน้ำเหลืองหยด ลงถ่านไฟ ก็ยืนดู มันคืออะไร เห็นกระดูกโผล่ออกมา ก็ยังไม่รู้เรื่องกับเค้า จนคนแก่มาลากออกไป ว่ามาดูอะไรไอ้หนู พอกลับมาบ้าน กลางคืนก็นอนไม่หลับ แต่ก็ไม่รู้เรื่องว่าเป็นอะไร
1
พอเริ่มโตขึ้นมา ก็มีคำถาม เกิดขึ้นในใจ เกิดมาทำไม เกิดมาแล้วต้องตาย แล้วเกิดมาเพื่ออะไร มันเป็นคำถาม เรื่อยมา ชีวิตคืออะไร มันเป็นอย่างไรน่ะ ก็ค่อยๆเสาะแสวงหาหาคำตอบ พี่ชายบอกว่า มีคนนั่งสมาธิเห็นพระ เราก็เอาบ้าง แอบนั่งบ้าง นั่งในมุ้ง ก็เห็นพระจริงๆ พระปรางค์ห้ามสมุทร พระแก้ว ก็เลยชอบนั่งสมาธิ ทำแล้วรู้สึกสบาย แต่ก็ไม่รู้จักว่า สมาธิเป็นอย่างไร จิตเป็นอย่างไร อารมณ์นึกคิด เรื่องกายอารมณ์จิต เป็นอย่างไร ไม่รู้เรื่องราวอะไร ก็พยายามหาหนังสืออ่านไปตามเรื่อง ที่เป็นเรื่องของสมาธิเรื่องลมหายใจบ้าง
เรื่องราวของคำว่าจิต ที่เรามักได้ยินกันบ่อย จิตหลุดพ้น แต่ปัญหามันเกิดขึ้น เมื่อเรายังไม่รู้จักคำว่าจิตที่แท้จริงเป็นอย่างไร เมื่อไม่รู้จักจิต..แล้วมันจะไปหลุดพ้น ได้อย่างไร ในเรื่องคำว่าปัญญาก็เหมือนกัน อะไรมันคือ คำว่าปัญญาที่แท้จริง นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่พยายาม หาวิธีทำความเข้าใจ ในคำว่าปัญญาธรรม
กลับมาสู่เรื่องคำว่าเกิดมาทำไม เมื่อได้ไปพบพระที่เจอท่านครั้งแรก ท่านก็บอกว่า มาศึกษาธรรมกัน โลกุตระธรรม ท่านบอกว่า ศึกษาไปแล้วจะสนุก เราก็ค่อยๆได้เรียนรู้ เรื่องราวอะไรต่างๆ ที่ท่านคอยบอกชี้แนะนำให้ เวลาท่านเจ็บไปนอนโรงพยาบาล ห้องผู้ป่วยรวม ท่านก็ชี้ ให้ดู คนป่วยคนนั้นคนนี้ ให้เราสังเกตดู เรื่องราวของสี สีของเวทนา ที่แสดงออกมาจากกาย สีกาฬ สีดำสนิทปรากฏให้เห็น ไม่กี่วันก็ตาย เรื่องราวของยมฑูต ที่ท่านแสดงให้ดูบ้าง
เรื่องของโอปปาติกะ ที่ล่องลอยอยู่ เรื่องของผู้ที่ดูแล โอปปาติกะที่ล่องลอยตามสถานที่ต่างๆ เรื่องของผีตายโหงบ้าง ที่แสดงให้ดู นอนขวางถนน ข้างถนนอยู่ เรื่องของโอปปาติกะ ที่มาขอรับบุญกุศลบ้าง นั่นก็ทำให้เรา ได้ค่อยๆ มีความเข้าใจ เห็นความสำคัญของการได้กายมนุษย์ ที่พ่อแม่ให้มา
เค้าให้เรามาสร้างบุญกุศลบารมีด้วยกายที่เรามีกรรม ให้กายพ่อแม่นี้มีบุญ เหมือนเราสร้างกายบุญ กายเทพ กายที่มีบุญกุศล เพื่อรองรับจิตที่จะต้องไปมีกายสังขารในวันข้างหน้า แล้วก็อาศัยบุญกุศลที่สะสมมา สะสมสร้างบุญกุศลบารมี หนีเวรกรรมไปเรื่อยๆ เพื่อจะได้ช่วยเหลือจิตของตนเอง ผ่านพ้นเวรกรรม ชดใช้เวรกรรมที่เคยสะสมมา
เพราะสิ่งที่เราได้เห็นประจักษ์บ้าง ในสิ่งที่จิตวิญญาณออกจากสังขารนี้ไป เมื่อไม่สะสมบุญกุศล ก็มีแต่ความทุกข์ทรมาน เมื่อเราเอาจิตไปสัมผัส รับรู้ความรู้สึกของเค้า ที่อยู่กับกรรม มันเหมือนกับเรา ไปอยู่ท่ามกลางแดดทะเลไฟ ร้อนเป็นไฟ แต่ก็หนีไปไหน ไม่ได้ ทั้งร้อนทั้งหิวกระหาย จิตไม่มีกายก็จริง แต่จิตก็อยู่กับสังขารนามธรรม แสบร้อนไปทั้งจิต หนีไปไหนไม่ได้เลย
เมื่อเราเห็นอย่างนี้ เราก็เห็นเรื่องการที่เรามีกาย ก็ใช้กายที่พ่อแม่ให้ เอามาสร้างบุญกุศลบารมี ให้กายพ่อแม่ที่จิตเราอาศัยอยู่ เป็นกายของบุญ ก็เท่ากับเราทดแทนพระคุณพ่อแม่ทางจิต ให้ธาตุของพ่อแม่มีบุญกุศล เมื่อเรากระทำสร้างบุญกุศล เราก็ตั้งใจทำ ระลึกถึงพระคุณพ่อแม่ ที่ให้กายเรา มาเพื่อสร้างบุญกุศลบารมี กายที่พ่อแม่อาศัยอยู่ก็พลอยมีบุญไปด้วย เพราะแม่ทั้งสี่นั้นต่อถึงกัน
เราก็พลอยได้รับ คำว่ากตัญญูรู้คุณพ่อแม่ นำสังขารของท่านมาสร้างบุญบารมีเกิดขึ้น มันก็เลยมีเรื่องราวอะไรมากมายที่เกิดขึ้นจากกายพ่อแม่ที่ให้มา เพื่อสร้างสิ่งดีๆให้แก่จิต ให้จิตนั้นขยับขยาย พ้นเวรกรรม คือ นำกายที่มีกรรม มาสร้างให้เกิดกุศลบารมี ชำระสะสางเรื่องราวต่างเนื่องด้วยกรรมนั้นออกไป จิตเราก็ขยาย ลอยขึ้น เบาขึ้น ผ่านภพภูมิ ที่มีแต่กรรม ไปสู่ภพภูมิ ที่ดีมีความสุข ที่จิตจะไปอาศัยเมื่อจากสังขารนี้
เรื่องราวทำนองไม่ใช่ว่า จะเขียนมาเพื่ออวดเก่งอวดดีอะไร เพียงแต่เอาแบ่งปัน เล่าเรื่องที่ตัวเองก็ไม่มีความรู้ อะไรๆ ก็อาศัยการสร้างบุญกุศลบารมี คลำเรื่องราวขององค์พระสิทธัตถะ ว่าท่านทำอย่างไร จึงพ้นทุกข์ ท่านใช้เวลายาวนาน แค่ไหนกว่า จิตท่านจะหลุดพ้น เราเองเป็นผู้ด้อยปัญญา ก็ต้องอาศัยจิตนอบน้อม ในธรรมที่ท่าน ฝากไว้ ให้เราได้รู้จักขึ้นมาบ้าง ว่าจะต้องปฏิบัติธรรมในรอยทั้งสี่ คลี่คลายกรรมของตนเอง ไม่รู้ว่าชาติไหน จะพ้นทุกข์
โฆษณา