22 ก.ค. 2022 เวลา 09:13 • ปรัชญา
ก็นั่นนะซิ ผมก็สงสัยเช่นกัน คุณก็สงสัยคนที่สงสัย คนที่ถูกสงสัยเขาก็สงสัยเช่นกันว่าเกิดมาทำไม? ต่างคนต่างสงสัยกันไปมา คนที่บอกไม่สงสัยแต่ในใจก็แอบสงสัยเช่นกัน ถ้าไม่สงสัยเรื่องนี้ก็สงสัยเรื่องอื่นๆอยู่ดี แต่สังเกตุไหมว่าสัตว์เซลเดียวพวกอมีบา ไวรัส โปรโตซัว มันไม่เคยสงสัยอะไรเลย มันไม่อยากรู้ด้วยว่าซํ้าว่ามันเกิดมาทำไม? ทําไมมันไม่สงสัยเหมือนมนุษย์ ทําไมมันไม่กลับมาเกิดใหม่
ไอ้ตัวคําว่าสงสัยนี่แหละ ที่มันเป็นตัวการที่ทําให้มนุษย์เกิดมา หากเราเฉยๆไม่สงสัยอะไร ไม่มีทางที่เราจะเกิดมาได้ ที่เกิดมาเพราะต้องการมาหาคําตอบอะไรหลายๆอย่างที่สงสัยคือความอยาก พวกสัตว์เซลเดียวมันเกิดชาติเดียวไม่ได้วนกลับมาเกิดใหม่เหมือนมนุษย์เพราะมันไม่สงสัยอะไร เรียกว่ามันมีวิญญาณคือการรับรู้เพียงอย่างเดียวคือตอบสนองต่อสิ่งเร้าเพียงเท่านั้น แต่สัตว์อื่นรวมถึงมนุษย์ด้วย ภายใต้ความสงสัยนั้น เกิดจากการทํางานภายใต้จิต ที่มีสิ่งอื่นประกอบในดวงจิตนอกจากวิญญาณ
( วิญญาณคือการรับรู้ไม่ใช่ผี วิญญาณทําหน้าที่รับรู้โลกภายนอกโดยไม่ได้ทำหน้าที่อื่นๆ เช่น รับรู้แล้วเฉยๆ เช่น เห็นแล้วเฉยๆ ไม่รู้จัก ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ไม่สุข ไม่ทุกข์ ไม่คิด)
นอกจากจะมีวิญญาณคือการรับรู้แล้วยังมีเวทนาคือรับรู้แล้วมีความรู้สึกด้วย ( ชอบไม่ชอบ สุข ทุกข์) สามารถจดจำความรู้สึกนี้ได้หรือจําสิ่งที่ถูกรู้ได้ จึงรู้ว่าสิ่งนี้คืออะไรและเก็บเอาไว้ในสัญญา มีความนึกคิดปรุงแต่งความรู้สึกต่อไปอีกเรียกว่าสังขาร การที่มีองค์ครบ 5 อย่างคือมีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เรียกว่าสมช. นั้นเป็นสังขารที่มีใจครองหรือมีจิต มีขันธ์ครบ 5 องค์ จึงเกิดความสงสัยใคร่รู้ เมื่อไม่รู้ จึงต้องเกิดใหม่เพื่อจะหาทางรู้ให้ได้ ความไม่รู้ในดวงจิตนั้นภาษาพระเรียก อวิชชา
แต่เดิมนั้นจิตเดิมเคยเป็นจิตว่าง ไม่มีอวิชชาไม่มีความสงสัยใคร่รู้หรืออยากรู้ แต่เกิดความผิดพลาด ทางเทคนิคบางอย่าง ที่ทำให้จิตที่แต่เดิมที่เคยว่างเกิดสงสัยใคร่รู้ แต่การจะรู้ได้นั้นต้องการขันธ์5เป็นองค์ประกอบจึงจะสมบูรณ์ การเกิดใหม่จึงเป็นการสร้างสภาพแวดล้อมให้จิตมีกายเนื้อหรือร่างกายมีสภาพสมบูรณ์แบบพร้อมที่จะเรียนรู้ ขันธ์5เมื่อเกิดมาแล้ว จิตเลยยึดติดตัวตน พอใจร่างกายลืมตัวตนเดิมสิ้นเชิง จิตตอนนี้ไม่ว่างแล้ว มีเปลือกอวิชาและกิเลสห่อหุ้มอยู่ ก็จะคิดปรุงแต่งอะไรไปเรื่อย
อะไรที่ตนเองพอใจก็จะไม่สงสัย อะไรไม่พอใจหรือไม่เข้าใจ เนื่องจากอวิชชาก็จะสงสัยอยู่เรื่อยไป ( อวิชชาไม่ได้แปลว่า โง่ ไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ คณิตศาสตร์หรือมี iq ตํ่า สอบตก) เมื่อเกิดมาแล้วก็ยังสงสัยไม่รู้ ก็เก็บความไม่รู้ไว้ เมื่อตายลงไปก็จะกลับมาเกิดใหม่เสมอเพื่อจะมาถามคําถามเดิมซํ้าๆ
อวิชชานั้นนอกจากความสงสัยใคร่รู้ ความไม่รู้แล้ว ความไม่รู้ทุกข์ ไม่เข้าใจทุกข์ ความผิดหวัง ไม่สมหวัง ก็เกิดจากอวิชชาเช่นกัน แต่อวิชชาเป็นลูกพี่ ใหญ่ไม่ค่อยแสดงตัว เก็บตัวเงียบไปในเงามืด คอยส่งลูกสมุนคือกิเลสมาทําหน้าที่แทนตัวเอง เพื่อให้มนุษย์มีความไม่รู้และหลงเชื่อฟังลูกน้องกิเลส ให้บงการชีวิตต่อไป
ส่วนคนที่ไม่ค่อยสงสัยใคร่รู้ เหมือนเช่นคุณเจ้าของกระทู้ จิตก็เป็นอิสระง่าย คืออวิชชาส่งกิเลสเข้ามาแต่จะไม่ค่อยได้ผลเพราะจิตไม่หลงเชื่อโดยง่ายเนื่องจากใช้ชีวิตด้วยสติปัญญาประกอบ แต่อวิชชาที่เป็นลูกพี่ฝังอยู่ลึกภายใต้จิตสำนึกเอาออกยาก คนประเภทนี้ถ้าเจริญสติบ่อยๆ ฝึกสมาธิภาวนา ภายในไม่เกิน 10 ชาติ จิตจะหลุดพ้นจากอวิชชาและไม่กลับมาเกิดใหม่ มาตั้งหรือตอบคำถามนี้แน่นอน เพราะจิตถูกรีเซ็ตเป็นศูนย์ เป็นสภาวะจิตว่าง ไม่ปรุงแต่งหรือสงสัยอะไรทั้งนั้น เห็นอะไรก็เพียงรับรู้เฉยๆ รู้เท่าทัน ทุกข์ สุข
และไม่มีความปราถนา ยึดติดอะไรต่อมิอะไรให้มันวุ่นวาย เมื่อไม่ปรุงแต่งหรือ สงสัยอะไร จิตจะดำรงสติอยู่ตรงกลาง ตายไปแล้วจะเกิดมาใหม่ทําไม? เมื่อไม่มีแรงจูงใจหรือหมดเชื้อแล้ว
โฆษณา