28 ก.ค. 2022 เวลา 04:31 • ปรัชญา
ชีวิตลิขิตเอง …
“สิ่งที่เกิดขึ้นมีผลต่อชีวิตเราเพียง 10% อีก 90%ที่เหลืออยู่ที่การตอบสนองของเราเอง”
EatUP อาหารสมอง ยิ่งกินยิ่งหิว
ลองถามตัวเองดูว่ากี่ครั้งแล้วที่เราต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนต่อชีวิตเรา จนบางครั้งเราอาจรู้สึกโชคร้ายหรือถามกับตัวเองว่าทำไมเรื่องแบบนี้ต้องเกิดขึ้นกับเรา ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์เลิกกับแฟน ทะเลาะกับเพื่อนสนิท ของหาย ถูกไล่ออกจากงาน ตกงาน เป็นหนี้ ถูกโกง หรือ สูญเสียคนในครอบครัว
บางครั้งเหตุการณ์นั้นถ้าคนภายนอกมองมาอาจจะไม่ได้รุนแรง แต่สำหรับเรา มันอาจเป็นสิ่งเลวร้ายของชีวิต เป็น end of the world
เรารู้สึกอย่างไรและเรา “ตอบสนอง” ต่อความรู้สึกนั้นอย่างไร
เราอาจร้องตะโกนให้สุดเสียง ทุบต่อยกำแพง ทำลายข้าวของ เก็บตัวไม่คุยกับใคร ดื่มเหล้าย้อมใจ ….
บ่อยครั้งในชีวิตเราต้องเจอสถานการณ์ที่นอกเหนือการควบคุม ที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนว่าทำไมการใช้ชีวิตถึงยากลำบาก ไม่มีความสุขสมหวัง บางคนก็ชอบกดดันตัวเอง เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นเพื่อให้ตัวเองดูด้อยค่าลงไปอีก
แต่ อย่าลืมว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นแค่แรงกระตุกเล็กๆ สิ่งใหญ่กว่านั้นคือการตอบสนองต่อเหตุการณ์ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดเส้นทางชีวิตของเรา Charles R. Swindoll เคยพูดว่า
“Life is 10% what happens to you and 90% how you react.”
“สิ่งที่เกิดขึ้นมีผลต่อชีวิตเราเพียง 10% อีก 90%ที่เหลืออยู่ที่การตอบสนองของเราเอง”
ยกตัวอย่าง...
ฮิคิโคโมริ (Hikikomori) เป็นคำภาษาญี่ปุ่นที่เรียกคนที่มีอาการผิดปกติทางจิตวิทยาอย่างหนึ่ง โดยผู้ป่วยมักมีพฤติกรรมแยกตัวออกจากสังคม ไม่ชอบพบปะผู้คน มักเก็บตัว ขังตัวเองอยู่ในห้องคนเดียว ซึ่งที่ญี่ปุ่นคาดว่ามีฮิคิโคโมริกว่าหนึ่งล้านคน เป็นกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบในชีวิต แล้วตัดสินใจตอบสนองในการเก็บกักตัวเอง เป็นหนึ่งตัวอย่างที่ทำให้เห็นภาพต่อการตอบสนองเชิงลบที่จะทำให้เกิดผลในอนาคต เพราะอย่างที่บอก 90% อยู่ที่เราจะ react ต่อสถานการณ์นั้นอย่างไร
จริงที่ว่า ไม่ว่าเราจะตอบสนองอย่างไรกับเหตุการณ์เหล่านั้น ชีวิตเราก็ยังจะดำเนินต่อไป
แล้วทำไมเราไม่ตอบสนองเป็นเชิงบวก เปลี่ยนเป็นพลังบวก เป็นบทเรียนที่จะขับเคลื่อนเราให้มีชีวิตที่ดีขึ้น
ถ้าสิ่งที่เกิดกระทบเราเป็น “ปัจจุบัน” เราก็ต้องกำหนดเส้นทางชีวิตโดยมองที่ “อนาคต”
โฆษณา