6 ส.ค. 2022 เวลา 03:43 • ธุรกิจ
ชิป 2 นาโนเมตร หนึ่งประเด็นสำคัญในการประชุม 'Economic 2+2' ญี่ปุ่น-สหรัฐฯ
ชิป 2 นาโนเมตร หนึ่งประเด็นสำคัญในการประชุม 'Economic 2+2' ญี่ปุ่น-สหรัฐฯ
การประชุม ‘Economic 2+2’ ของสองพันธมิตรทางเศรษฐกิจ ญี่ปุน - สหรัฐฯ ครั้งแรกมีเนื้อหาที่ถูกจับตา คือ การส่งเสริมเทคโนโลยีเกิดใหม่และโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ซึ่งรวมถึงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ โดยเฉพาะชิป 2 นาโนเมตรที่เป็นชิปยุคถัดไป
‘Economic 2+2’ เป็นการประชุมประสานงานเชิงกลยุทธ์ในระดับทวิภาคีระหว่างญี่ปุ่น - สหรัฐฯ ในประเด็นทางเศรษฐกิจ เพื่อส่งเสริมการผลิตเทคโนโลยีที่สำคัญในประเทศ การสร้างห่วงโซ่อุปทานพลังงาน และสนับสนุนการวิจัยทางวิทยาศาสตร์เพื่อให้ทันกับจีน
ประธานาธิบดี โจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ และนายกรัฐมนตรี ฟูมิโอะ คิชิดะ ของญี่ปุ่น ได้ประกาศแผน ‘Economic 2+2’ ในเดือนมกราคม และมีการประชุมเตรียมการก่อนจะมาถึงการจัดประชุมรัฐมนตรีของทั้งสองฝ่ายในการประชุม ‘Economic 2+2’ ครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2022 ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.
โดยรัฐมนตรีจากทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่า โลกยังอยู่ในช่วงฟื้นตัวจากการระบาดของโควิด ทำให้ซัพพลายเชนหยุดชะงัก สินค้าต่าง ๆ มีราคาสูงขึ้น และเกิดความไม่เท่าเทียมกันในวงกว้าง อีกทั้งการรุกรานของรัสเซียต่อยูเครนได้ทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง และคุกคามต่อความมั่นคงด้านพลังงานและอาหารโลก
ญี่ปุ่นและสหรัฐฯ มีความตั้งใจร่วมพัฒนาเทคนิคการผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์ขนาด 2 นาโนเมตร และตั้งเป้าพัฒนากระบวนการผลิตแบบจำนวนมากร่วมกัน ซึ่งนาย Koichi Hagiuda รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม หรือ METI ได้เปิดเผยถึงความต้องการให้เทคโนโลยีของญี่ปุ่นผนวกเข้ากับแนวคิดที่ก้าวหน้าของสหรัฐฯ และแม้ว่าจะยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียด แต่สำนักข่าว Nikkei รายงานว่า ทั้งสองฝ่ายมีแผนสร้างศูนย์วิจัยชิปในญี่ปุ่น และมีแผนเริ่มผลิตชิป 2 นาโนเมตรภายในปี 2025
ปัจจุบัน ชิป 2 นาโนเมตรยังไม่สามารถผลิตแบบ Mass Production ได้ ซึ่งมีผู้ผลิตรายใหญ่อย่าง TSMC, Intel, และ Samsung ที่ได้ประกาศแผนเริ่มผลิตได้ในช่วงปี 2024 - 2025
จากในอีกด้านหนึ่ง แม้หลายประเทศทั่วโลกจะเร่งส่งเสริมการผลิตชิป แต่ญี่ปุ่นยังมีความล่าช้าและมีส่วนแบ่งตลาดน้อยมาก ซึ่งฝ่ายบริหารของ METI แสดงความเห็นว่านี่อาจเป็นโอกาสครั้งสุดท้ายของญี่ปุ่นในการจับจองส่วนแบ่งเซมิคอนดักเตอร์ในตลาดโลกก็เป็นได้
ฝั่งสหรัฐฯ เองก็เป็นอีกประเทศที่มีความพยายามในการครองส่วนแบ่งตลาดชิปอย่างเด่นชัด ซึ่งร่างกฎหมาย “CHIPS for America Act” เพื่อส่งเสริมการผลิตและวิจัยเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศให้มากยิ่งขึ้นภายในระยะเวลา 10 ปีข้างหน้าด้วยงบประมาณ 2.28 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถูกเสนอตั้งแต่ช่วงกลางปี 2020 และได้มีมติผ่านร่างกฎหมายนี้ในวันที่ 29 กรกฎาคมที่ผ่านมา
อ่านข่าวและบทความอื่น ๆ ได้ที่ https://www.mreport.co.th/?utm_source=bd
ติดตาม M Report ได้ที่
LINE Official : https://bit.ly/357ySYm
โฆษณา