7 ส.ค. 2022 เวลา 02:17 • การศึกษา
เรื่องราวของคำว่าน้ำมนต์ มันมีกันมานาน ในประเพณีท้องถิ่น มีทั้งที่ตามตำหนักร่างทรง ตามที่ที่มีพิธีการทำบุญบ้าง ต้องมีขันมีน้ำ บ้างก็เอาสายสิญจน์ มาพันวนรอบขันที่จะทำน้ำมนต์ สมัยก่อนตามโบสถ์ พระท่านก็เอาโอง ใสน้ำไปไว้ในโบสถ์ เป็นโองน้ำมนต์ ชาวบ้าน ก็ไปขอเอาน้ำมนต์ ไปดื่มไปล้างหน้าล้าง เวลาเจ็บป่วยไม่สบาย ถูกลมเพลมพัด แล้วก็ไปทำบุญทำทาน
เรื่องลมเพลมพัด เป็นโรคประจำถิ่นอย่างหนึ่ง ซึ่งอยู่ในบ้านเมือง ที่แวดล้อมไปด้วย ซึ่งสมัยนี้ ก็ไม่ค่อยมีคนรู้จัก เรื่องราวที่ไปรับของขลังมาใส่ตัว เป่าด้วยคาถา เข้าไปที่ตัว คนสมัยนี้ ก็บอกว่างมงาย แต่คนที่เค้าเชื่อมันก็มีมากมาย ก็ไปรับกัน โดยไม่รู้ตัวว่า
สิ่งเหล่านั้น จะส่งผลให้เกิดอะไรขึ้นมาบ้าง คิดว่าดีๆกันทั้งนั้น ที่จริงสิ่งเหล่านี้มันน่ากลัว ที่จะทำให้จิตนั้น หาความสุขไม่ได้ อยู่ที่ไหนก็ร้อน เหมือนไฟมันเผาตลอด เป็นไฟสุ่มขอนอยู่ภายในกาย ที่สุดก็เจ็บป่วย ไปตรงนั้นตรงนี้ โรคภัยต่างๆ ปวดเมื่อย อารมณ์หงุดหงิด คุยกับใครนิดหน่อย ใครพูดขัดหูหน่อย ก็ไม่ชอบใจ ร้อนเป็นฟืนเป็นไฟ
เรื่องน้ำมนต์ ครั้งหนึ่งไปงานทำบุญบ้านเพื่อน เรารู้สึกอึดอัดมาก เหมือนไม่อยากเข้าบ้าน ต้องเดินเข้าออกบ้านนี้ อยู่สองสามรอบ พอทำบุญเสร็จเรียบร้อย ก็มีพระองค์หนึ่งรู้จักเจ้าของบ้าน นั่งรถมา แล้วก็เอา น้ำมนต์ลงจากรถมาปะพรม เราเองก็ไมอยากให้พรม แต่ก็หนีไม่ได้ ก็เลย พนมมือรับน้ำที่พระท่านพรมมา ท่านพรมมาสามครั้ง สองน้ำแรกที่พรมมา เห็นเป็นน้ำใส น้ำที่สามที่พรมมา เห็นเป็นสีดำ ..เราก็รู้แล้วว่าท่านเป็นผู้ที่มีคาถาเวทมนต์
เรื่องน้ำมนต์ เราก็ควรจะรู้จัก เสียหน่อย ว่า น้ำมนต์ พระที่ท่านรู้จัก ท่านปฏิบัติ ท่านจะระมัดระวังจิตของท่าน เวลาขอน้ำมนต์ ของแสงรัตนะ ส่องลงมา ท่านไม่มีเรื่องเวทมนต์คาถาอะไรเลย เพราะสิ่งเหล่านี้ เป็นสีดำทั้งนั้น ส่วนน้ำมนต์ที่เค้าว่า กันด้วยคาถาอาคม มนต์ดำ มันมีแต่เรื่องราวที่จะทำจิตหลงไหล ไปอยู่กับสิ่งเหล่านี้ เค้าเรียก เป็นบริวาร เชื่อในเรื่องราวไสยศาสตร์ อิทธิฤทธิ์อิทธิเดช เป็นอันธพาล หาความสุขไม่ได้
เมื่อเราต้องมีชีวิตอยู่ ในสังคมที่เค้าเชื่อในสิ่งที่เหล่านี้กัน เราก็มีโอกาส ไปพบไปเจอ ไปร่วมงานที่เค้างานบุญกัน เราก็ควรรู้จัก คำว่าน้ำมนต์ มันคือ อะไร เป็นแบบไหนบ้าง ไม่ใช่ไม่รู้เลย ถึงเวลาไปร่วมงานบุญ ใครปะพรมอะไรมา ก็ก้มหัวรับ สาธุ สาธุ แต่ดีไม่ดีไม่รู้เลย คิดอุปโลกน์เองว่าดีๆๆ
พวกที่ตัวเองท่องคาถาอาคม ทำของขลัง เวลาทำน้ำมนต์ น้ำมนต์นั้นก็เป็นแต่สีดำทั้งนั้นเลย ไม่ได้สะอาดสะอ้านบริสุทธิ์ด้วยสิ่งที่เรียกว่า รัตนะอะไรขึ้นมาได้เลย เป็นเพราะจิตนั้นหลงใหลในเวทมนต์คาถามากระทำ เค้าเรียว่าดำไปทั้งตัว แต่ม่านมันบังตา ผู้ที่พบเห็น ยิ่งคนชอบสิ่งนี้ศักดิ์สิทธิ์ ของขลังทำนองนี้ ก็ยิ่งหลงใหล ชอบอกชอบใจ เพราะเป็นพวกเดียวกันนี่น่ะ
เรื่องราวพวกนี้ มันก็แปลก คนที่ท่องคาถาอาคมมากมาย บอกให้มา ภาวนา พุทโธ แค่สองคำ เอาแค่นี้พอ..ไม่ต้องไปโลภอยากนั่น อยากนี่ เอาคาถามาท่อง กลับทำไม่ได้เลย แค่คำว่าพุทโธ แค่สองคำ ภาวนาขึ้นมาด้วยสติสัมปชัญญะของจิต ให้จิตอยู่กับคำว่า พุทโธ จิตของพระ ยิ่งภาวนา พุทโธ รักษากายนิ่ง จิตนิ่ง ก็ยิ่งร้อนไปเป็นไฟ ลุกลี้ลุกลน หงุดหงิด นั่งนิ่งไม่ได้ ปล่อยวางเฉยไม่ได้ ก็ต้องไปเอาคาถาอาคมมายึดมาท่อง ถึงจะนิ่งได้
แล้วมันก็เลย เป็นสมาธิมิจฉาทิฐิไป สติสัมปชัญญะที่จะไปพิจารณาอารมณ์นึกคิด มันมาจากไหน ทุกข์มาจากไหน ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้เลย เรื่องจะทำจิตใจปล่อยอารมณ์โลภโกรธหลง ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะมีแต่ความยึดถือ ยึดเวทมนต์คาถาอาคมเป็นสรณะของจิตตน พวกนี้รู้ดีเสียด้วย แต่กระทำตรงข้ามในสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน
เจ้าชายสิทธัตถะเคยกระทำมา เป็นแบบอย่าง ว่าต้นตอ ศาสนาท่านกระทำมาอย่างไร ต้องไปอยู่ป่า อยู่ในที่ทุกข์ยากลำบากกายลำบากจิต ทนทุกขเวทนา เพื่อรู้จักคำว่าทุกข์จริงๆนั่นเป็นอย่างไร กว่าจิตจะถึงธรรม เจ้าชายสิทธัตถะที่ไม่ได้สำเร็จธรรม ด้วยนั่งในปราสาทเวียงวังจึงสำเร็จตรัสรู้ เป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อย่าเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ได้อ่านน่ะ พิจารณาขึ้นมา ทุกท่านมีปัญญา ย่อมพิจารณา ดูสังเกตเห็นได้ ถ้าจะให้ดีก็ ก็เรียบเรียงเหตุผลจากรอยชาดกขององค์พระสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้า เรื่องการสะสมบุญกุศลบารมีให้แก่จิต จนถึงชาติพระสิทธัตถะ ที่ต้องไปอยู่ป่า เพื่อรู้จักทุกข์ที่แท้จริงของจิต ใครเป็นผู้ที่ต้องทำให้เวียนว่ายตายเกิด เมื่อจะไม่เกิดก็ต้อง ไม่มีการใช้อารมณ์โลภโกรธหลงอีกเลย
พระท่านสอนให้พ้นทุกข์ แล้วเรารู้จักคำว่าทุกข์ ตามที่ท่านสอนแล้วหรือยัง เมื่อจิต (จิตรู้จัก ไม่ใช่รู้จดจำมา) ไม่รู้จักคำว่าทุกข์ ตามที่ท่านสอนไว้ แล้วจะไปเอาอะไีรไปพ้นทุกข์ได้ มันก็เป็นอยู่กับทุกข์ไม่รู้จักทุกข์ เพราะทุกข์ทับถมจิต ไม่มีทางพ้นทุกข์ไปได้เลย
โฆษณา