9 ส.ค. 2022 เวลา 13:00 • ธุรกิจ
[ คนที่เราควรเรียนรู้ ถ้าอยากทำให้ธุรกิจเติบโต ]
การเรียนรู้เป็นสิ่งสำคัญและมีหลายรูปแบบ หนึ่งในวิธีการเรียนรู้ที่ได้ผลดี คือการเรียนรู้จากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรา ในบทความนี้ขอแนะนำกับกลุ่มคนใกล้ตัว ทั้ง 5 กลุ่มที่สำคัญ ที่เราควรเรียนรู้เพื่อสร้างธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ได้แก่ 1) ลูกค้า 2) พนักงาน 3) คู่แข่ง/ธุรกิจเพื่อนรอบข้าง 4) ที่ปรึกษา 5) สังคม
1
คนที่เราควรเรียนรู้ ถ้าอยากทำให้ธุรกิจเติบโต
ผู้ประกอบการอย่างพวกเราหลายคนมักจะคิดว่า การเรียนรู้สำคัญนะ แต่ไม่รู้ว่าจะเรียนกับใคร และเรียนอะไรดี?
หรือหากรู้ก็อาจจะไปลงคอร์ส หรือหลักสูตรจากวิทยากรภายนอกในเรื่องที่เราสนใจ ซึ่งก็เป็นวิธีที่ดี แต่นอกเหนือจากการเรียนรู้ผ่านหลักสูตรอย่างจริงจังแล้ว ยังมีวิธีการเรียนรู้อีกหลากหลายวิธี ซึ่งในบทความนี้จะมาแนะนำการเรียนรู้จากบุคคลใกล้ตัว ที่มีความสำคัญและเกี่ยวข้องกับธุรกิจของเรา ซึ่งมีอยู่ 5 กลุ่ม ที่เราควรเรียนรู้เพื่อนำข้อมูลเอาไปใช้ในการทำธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ได้แก่
1) ลูกค้า
ลูกค้า ถือเป็นคนกลุ่มแรกๆ ที่เราควรให้ความเอาใจใส่ดูแล เพราะมีผลต่อการอยู่รอดของธุรกิจ จากการที่พวกเขามาซื้อสินค้าและบริการของธุรกิจเรา
การเรียนรู้จากลูกค้า เพื่อให้ได้ข้อมูลมาปรับเรื่องการตลาด การขาย และบริการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งส่งผลดีต่อทั้งต้นทุน ยอดขาย และกำไรของธุรกิจ โดยเริ่มจากการเรียนรู้ผ่านช่องทางการสื่อสารทั้งออนไลน์และออฟไลน์ (ถ้ามี) มีการรับฟังความคิดเห็นอย่างตั้งใจ เอาใจใส่แบบไม่เลือกปฏิบัติ รวมถึงเรียนรู้เพื่อปรับการให้บริการ ในกรณีที่มีเรื่องร้องเรียน หรือปัญหาที่ต้องมีระยะเวลาในการแก้ไข
ทุกครั้งที่ลูกค้ารู้สึกว่าเราใส่ใจ เข้าใจพวกเขาอย่างแท้จริง จากการที่เราไปเรียนรู้พวกเขาและปรับปรุงให้ตอบสนองให้ตรงกับลูกค้ามากขึ้น พวกเขาจะเกิดความประทับใจ และไว้วางใจ เกิดการซื้อซ้ำ รวมถึงการบอกต่อ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการสร้างยอดขายและธุรกิจที่มั่นคง
2) พนักงาน
พนักงาน ถือเป็นกลุ่มคนใกล้ตัว ที่เราควรเรียนรู้ไม่แพ้ลูกค้า แต่ไม่น่าเชื่อว่า เจ้าของกิจการ หรือ ผู้บริหารหลายคน ต่างละเลยคนกลุ่มนี้ มัวไปเรียนรู้กับคนภายนอก ทั้งที่พวกเขาเหล่านี้ คือ ทรัพยากรสำคัญในการดำเนินธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ
หลักการสำคัญในการเรียนรู้จากพนักงาน คือ ทำความเข้าใจจากสิ่งที่เขาทำ สิ่งที่เขาเป็น ซึ่งพวกเขาเหล่านี้หลายคนคือคนที่อยู่หน้างานเป็นคนที่เจอปัญหาจริงจากลูกค้า เจ้าของกิจการอย่างเรา ควรเรียนรู้จากการรับฟัง ทำความเข้าใจพนักงาน อย่างไม่มีอคติ และเรียนรู้จากพนักงานทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นพนักงานระดับบนหรือระดับล่าง
ซึ่งข้อมูลและความรู้ที่ได้ นอกจากจะใช้ในการปรับกลยุทธ์ในการดำเนินงานด้านต่างๆ ของธุรกิจให้เกิดผลลัพธ์มากขึ้นแล้ว ยังสามารถใช้ความรู้ดังกล่าว ทำให้กระบวนการทำงานของพนักงานมีความสุขมากขึ้น เกิดผลดีสืบเนื่องต่อการทำธุรกิจอีกด้วย
3) คู่แข่ง/ธุรกิจเพื่อนรอบข้าง
แน่นอนว่า การที่เราโฟกัสในงานที่ธุรกิจทำเป็นหลักโดยไม่ต้องไปเปรียบเทียบ ใส่ใจผู้อื่น เป็นเรื่องที่ดี ทำให้
เราไม่เสียพลังงานและเวลาไปกับเรื่องของธุรกิจอื่นที่ไม่เกี่ยวกับเรา และไม่ทำให้ธุรกิจเราเติบโต
แต่บางครั้งที่เราไอเดียตีบตัน คิดไม่ออก รวมถึงกลัวภัยคุกคามจากข้างนอก การที่เราไปเรียนรู้ ศึกษาข้อมูล
จากธุรกิจรอบข้าง หรือคู่แข่งถือเป็นสิ่งที่อาจช่วยเราแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ และแน่นอนว่า พอได้ไอเดียมา ไม่จำเป็นต้องเลียนแบบทุกอย่าง แต่ให้เราเลือกปรับให้เข้ากับการดำเนินงานและเป้าหมายของธุรกิจ จะได้ผลมากกว่า และไม่เจอปัญหาการฟ้องร้องทางกฎหมาย หากเลียนแบบทุกอย่างโดยไม่มีการดัดแปลง
4) ที่ปรึกษา
หากได้ลองศึกษาประวัติของคนสำเร็จในทุกวงการ รวมถึงแวดวงธุรกิจ หลายๆ คนจะมีที่ปรึกษาประจำตัว ที่
ชี้แนะ ให้คำแนะนำ รับฟังเรา และผลักดันเราให้ไปสู่เป้าหมายและได้ใช้ศักยภาพได้อย่างเต็มที่ ซึ่งถือว่าเป็นการลงทุนในธุรกิจที่คุ้มค่ามาก เพราะคำแนะนำเพียง 1 ประโยค อาจพลิกธุรกิจจากติดลบ กลายมาเป็นประสบความสำเร็จได้เลย
ถ้าหลายครั้ง เราไม่สามารถหาที่ปรึกษาหรือไปพบกับที่ปรึกษาที่เราต้องการขอคำแนะนำได้ ทั้งข้อจำกัดของเราและข้อจำกัดของที่ปรึกษาเอง แต่เราก็สามารถใช้วิธีอื่นในการเรียนรู้ได้ เช่น ศึกษาความรู้ของที่ปรึกษาคนนั้นผ่านสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ podcast คอร์สสัมมนาออนไลน์ คลิปใน Youtube อีกมากมายให้เราได้ศึกษา โดยแทบไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย หรือเสียค่าใช้จ่ายในราคาไม่แพง สามารถศึกษาได้ทุกที่ ทุกเวลา ขอแค่เราจัดเวลาเรียนรู้ใส่ลงไปในตารางการทำงานก็พอ
5) สังคม
แม้บางคนอาจจะมองว่า ธุรกิจของเราไม่น่าจะต้องเรียนรู้จากสังคม เพราะเราไม่ได้มีผลกระทบอะไรต่อสังคม แต่เชื่อหรือไม่ว่า ธุรกิจของเราย่อมส่งผลกระทบต่อผู้อื่นไม่ทางตรง ก็ทางอ้อมอยู่ดี อย่างเช่นกลุ่มเป้าหมายสินค้าของเรา อาจเป็นกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อ แต่คนที่เราจ้างงาน คือ คนธรรมดาที่หาเช้ากินค่ำ ซึ่งก็ถือว่าเป็นการสร้างงานสร้างรายได้ให้คนเหล่านี้ สามารถใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างไม่ยากลำบาก
แน่นอนว่า การทำธุรกิจโดยทั่วไป เป้าหมายหลักคือ การมีกำไรเพื่อหล่อเลี้ยงธุรกิจ แต่เราก็สามารถเพิ่มเป้าหมายในการสร้างผลกระทบเชิงบวกให้สังคมได้ โดย หากธุรกิจเรามีผลกระทบโดยตรงต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เช่น หากเราเป็นโรงงาน เราควรปรับปรุงจากการเรียนรู้มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมและสวัสดิการ รวมไปถึงการเรียนรู้จากชาวบ้านที่อาศัยโดยรอบ เพื่อปรับวิธีการดำเนินงานไม่ให้ส่งผลกระทบ
หรือ ถ้าธุรกิจเราส่งผลกระทบทางอ้อม เราก็สามารถจัดแคมเปญในการให้พนักงานเข้าไปรับฟังปัญหา เรียนรู้กับคนในพื้นที่รอบบริษัท เพื่อให้ความช่วยเหลือตามที่บริษัทสามารถช่วยเหลือได้ ซึ่งท้ายที่สุดก็จะส่งผลดีกลับมายังภาพลักษณ์ของบริษัท และความยั่งยืนของธุรกิจในอนาคต
การเรียนรู้จากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้ง 5 กลุ่มข้างต้น จะได้ทั้งข้อมูลและความรู้ ที่เราสามารถนำไปวิเคราะห์และวางกลยุทธ์สร้างการเติบโตของธุรกิจให้เพิ่มมากขึ้นได้ แต่สิ่งสำคัญที่สุดของการเรียนรู้ คือการลงมือทำ เพราะหากเรียนรู้อย่างเดียว แต่ไม่นำมาปรับใช้ก็จะเสียเวลาในการเรียนรู้ไปโดยเปล่าประโยชน์ และไม่เกิดผลใดๆ
เขียนโดย: ธนโชค โลเกศกระวี
นักเขียนอิสระและผู้ประกอบการออนไลน์
โฆษณา