13 ส.ค. 2022 เวลา 08:25 • กีฬา
ซาดิโอ มาเน่ ใช้เวลาแค่ 1 เกมเท่านั้น ขยับขึ้นเป็นเต็งหนึ่งดาวซัลโวบุนเดสลีกาในฤดูกาลนี้ ทำไมเขาได้รับการยอมรับเร็วขนาดนั้น เราจะไปย้อนดูด้วยกัน
1
หลังจากโรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ และเออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ ย้ายไปเล่นลีกอื่น เท่ากับว่าสองตัวเต็งไม่อยู่แล้ว จึงมีคำถามกันว่า แล้วใครจะคว้าตัวเต็งดาวซัลโวประจำฤดูกาล 2022-23
ตอนแรกก่อนฤดูกาลเริ่ม ตัวเต็งคือ แซร์จ นาบรี้ (บาเยิร์น), แพทริก ชิค (เลเวอร์คูเซ่น) และ คริสโตเฟอร์ เอ็นคุนคู (ไลป์ซิก) แต่ล่าสุด หลังผ่านเกมวีกแรก เต็งหนึ่งกลายเป็นของซาดิโอ มาเน่ อย่างรวดเร็วมาก สาเหตุเพราะไม่ใช่แค่เขายิงได้ แต่ดูปรับตัวได้เร็วจริงๆ กับทีมใหม่ แถมเล่นฟุตบอลด้วยความสุขเป็นอย่างมาก
3
ก่อนที่จะไปว่ากันถึงฟอร์มในปัจจุบัน เราจะย้อนไปดูแบ็กกราวน์ว่าทำไมบาเยิร์น มิวนิค คว้าตัวมาเน่มาร่วมทีมด้วย
ในช่วงปลายฤดูกาลที่แล้ว ทุกคนเริ่มเห็นภาพชัดเจนว่า เลวานดอฟสกี้ จะไม่อยู่กับบาเยิร์นต่อไปอีกแล้ว (และ ณ เวลานั้น นาบรี้ ก็ยังไม่ต่อสัญญา) ดังนั้นการหาตัวรุกคนใหม่จึงเริ่มขึ้น ซึ่งคนที่มาแทนเลวานดอฟสกี้ได้นั้น ต้องมีฝีเท้าระดับท็อป และต้องมีคาแรคเตอร์ที่ขายได้ เพื่อผลประโยชน์ทางการตลาดด้วย
1
คนแรกที่บาเยิร์นต้องการคือ เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ เพราะถ้าได้มาปั๊บ ทีมจะไม่ต้องเปลี่ยนระบบการเล่นอะไรเลย เนื่องจากเลวานดอฟสกี้ กับ ฮาแลนด์ เป็นกองหน้าประเภท Classic No.9 เหมือนกัน เป็นพวกตัวใหญ่ ยิงดี โหม่งได้ เป็น Target Man ให้เพื่อนๆ ป้อนบอลมาให้ยิง
1
แต่ในเดือนเมษายน 2022 โอลิเวอร์ คาห์น ซีอีโอของบาเยิร์น ยอมรับว่า "การซื้อตัวฮาแลนด์ ต้องใช้เงินเยอะมากกว่าที่เราจินตนาการไว้เยอะ" เพราะลำพังค่าตัวก็ 60 ล้านยูโรแล้ว ยังไม่นับค่าเหนื่อยระดับ 440,000 ยูโรต่อสัปดาห์ ซึ่งมันจะทำลายเพดานค่าเหนื่อยของสโมสรยับเยิน ดังนั้นฮาแลนด์จึงโดนสโมสรที่กล้าจ่ายแพงกว่า อย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ กระชากตัวไปแทน
2
ระหว่างที่บาเยิร์นกำลังหาตัวรุกคนใหม่ ช่วงปลายซีซั่นที่แล้ว ซาดิโอ มาเน่ ที่เหลือสัญญากับลิเวอร์พูลอีกแค่ 1 ปี ก็มีความชัดเจนว่าจะไม่ต่อสัญญากับทีมหงส์แดงออกไป และเริ่มมองหาอ็อปชั่นในการย้ายทีม
เมื่อได้ยินข่าวว่ามาเน่อยากย้าย ฝั่งบาเยิร์นจึงแสดงความสนใจทันที เพราะเฮดโค้ช - ยูเลียน นาเกลส์มันน์ ถือเป็นแฟนคลับตัวยงของมาเน่ ย้อนกลับไปในเดือนสิงหาคมปี 2017 ตอนที่นาเกลส์มันน์คุมฮอฟเฟ่นไฮม์ เขาพาทีมลงปะทะกับลิเวอร์พูล ในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบเพลย์ออฟ
ก่อนเกมจะเริ่ม นาเกลส์มันน์ เปิดวีดีโอของมาเน่ให้ลูกทีมศึกษาภาษากายของมาเน่เอาไว้ และติวเข้มว่า ถ้ามาเน่ได้บอลมุมนี้ ต้องประกบแบบไหน แต่ติวไปก็เท่านั้น สุดท้ายก็ต้านไม่อยู่ ฮอฟเฟ่นไฮม์ โดนนำ 3-0 ในระยะเวลาแค่ 21 นาที
1
นาเกลส์มันน์อยากได้มาเน่มาตลอดแต่ไม่สบโอกาส จนมาคราวนี้ ทางผู้บริหารที่รับผิดชอบการซื้อขายอย่าง ฮาซาน ซาลิฮามิดซิช ก็เห็นดีเห็นงามด้วย เพราะมาเน่มีโพรไฟล์ดี เขาประสบความสำเร็จมาแล้วทุกอย่าง ดังนั้นเพื่อนร่วมทีมจะยอมรับโดยง่ายแน่ๆ ส่วนพวกค่าตัวก็เหมาะสม อยู่ในเรต 30-40 ล้านยูโร ค่าเหนื่อยก็ 300,000 ยูโร คือไม่ทะลุแบบบ้าคลั่งเหมือนดีลฮาแลนด์
3
แต่ปัญหาอย่างหนึ่ง ที่บาเยิร์นกังวลใจถ้าจะซื้อมาเน่จริงๆ คือเรื่องการเปลี่ยนแปลงแท็กติก เพราะที่ผ่านมา 8 ปี เมื่อคุณมีเลวานดอฟสกี้ ก็ย่อมต้องใช้เลวานดอฟสกี้ยืนหน้าเป้า มันไม่มีอะไรต้องถกเถียงกัน
1
แม้แต่เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่ชื่นชอบระบบ False 9 แต่เมื่อมีเลวานดอฟสกี้อยู่ในทีม เขาจะไม่เอาลงก็ไม่ได้ ดังนั้นระบบของบาเยิร์นจึงยึดโยงอยู่กับกองหน้าตัวเป้าอยู่เสมอ
1
แต่ถ้าซื้อมาเน่ ที่ไม่ใช่ Classic No.9 ล่ะก็ บาเยิร์นต้องปรับตัวเยอะมากในเกมรุก แต่ถ้าหากปรับตัวได้ ก็จะกลายเป็นเกมรุกรูปแบบใหม่ ที่ดู Fresh และน่าสนุกยิ่งกว่าเดิมอีก
นาเกลส์มันน์ตัดสินใจ "เอา" สโมสรจึงเริ่มเจรจากับมาเน่ โดยสำนักข่าวที่รายงานแห่งแรกคือ เลกิ๊ป สื่อฝรั่งเศส ที่ระบุว่าซาลิฮามิดซิช ผู้อำนวยการกีฬาของบาเยิร์น ติดต่อกับเอเยนต์และตัวมาเน่พอได้ยินข้อเสนอ ก็สนใจมากๆ
มาเน่เล่าว่า "ผมคุยกับติอาโก้ อัลคันทาร่า ตอนเริ่มตัดสินใจจะย้ายมาบาเยิร์น และเขายืนยันว่าบาเยิร์นเป็นสโมสรที่ยอดเยี่ยม ทุกคนเป็นมิตร และมิวนิคเป็นเมืองที่สุดยอดมากๆ มันทำให้ผมรู้สึกดีกับดีลนี้ทันที"
ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงตกลงกันได้ในที่สุด เหลือแค่รอให้บาเยิร์น ตกลงค่าตัวกับลิเวอร์พูลให้ได้เท่านั้น ซึ่งมีการดีลกันอยู่ราวๆ 2 สัปดาห์ และสุดท้ายก็ไม่มีปัญหา เคาะราคาขายกันที่ 32 ล้านยูโร และมีอ็อปชั่นเสริมอีก 9 ล้านยูโร โดยมาเน่ตัดสินใจเลือกเสื้อหมายเลข 17 ที่เคยเป็นของเจอโรม บัวเต็งมาก่อน
มาเน่ให้สัมภาษณ์หลังการเซ็นสัญญาลุล่วงว่า "ยูเลียนและฮาซาน ได้อธิบายผมอย่างชัดเจน ว่าโปรเจ็กต์ในอนาคตของบาเยิร์นจะเดินหน้าไปทางไหน ซึ่งผมทึ่งมากๆ ดังนั้นผมไม่คิดเยอะเลย ตอบตกลงว่าจะมาอยู่กับพวกเขาแทบจะทันที นี่คือทีมที่เหมาะสมกับผมที่สุด"
การคว้าตัวมาเน่ได้สำเร็จ สร้างเครดิตให้กับซาลิฮามิดซิชมากๆ โดยออตมาร์ ฮิตซ์เฟลด์ โค้ชระดับตำนานของทีมเสือใต้ออกมากล่าวว่า "มาเน่ เป็นนักเตะที่ผู้คนรู้จักไปทั่วโลก การเซ็นสัญญากับเขามีค่ามากๆ กับภาพลักษณ์ของบาเยิร์น และมาเน่จะกลายเป็นสมบัติล้ำค่าของสโมสร" ในมุมของฮิตซ์เฟลด์นั้น บาเยิร์นสามารถตีตลาดแอฟริกาได้ดีขึ้นแน่ๆ เมื่อได้มาเน่มาอยู่ในทีม
เอาล่ะ ตอนนี้เราจะเห็นว่า ทุกคนต่างมองว่าดีลนี้ยอดเยี่ยม แต่คำถามคือ เมื่อต้องใช้งานจริงๆ ในสนาม นาเกลส์มันน์ จะวางไลน์อัพอย่างไร เคมีของมาเน่จะเข้ากับเพื่อนร่วมทีมได้หรือไม่ แล้วจะยืนตำแหน่งไหน?
มาเน่เริ่มต้นตำแหน่งแรกที่ลิเวอร์พูลด้วยการเล่นปีกขวา แต่พอซาลาห์ย้ายมาเขาโดนโยกไปยืนปีกซ้าย จากนั้นในฤดูกาลล่าสุดที่หงส์แดงลุ้น 4 แชมป์ เขายืนเป็นกองหน้าตัวเป้า เมื่อมีคุณสมบัติหลากหลายขนาดนี้ คำถามคือ แล้วจะยืนอย่างไร ถึงจะตอบโจทย์ที่สุด
เกมนัดแรกของซีซั่นก็มาถึง บาเยิร์นลงเล่นเกมเดเอฟแอล ซูเปอร์คัพ (หรือคอมมิวนิตี้ชิลด์ของเยอรมัน) ด้วยการไปเยือนไลป์ซิก ที่เรดบูลล์ อารีน่า คราวนี้เราจึงเห็นแนวทางของนาเกลส์มันน์อย่างชัดเจนขึ้น
1
ตอนแรกทุกคนคิดว่า บาเยิร์น จะใช้ 4-3-3 เหมือนเดิม แค่สลับจากเลวานดอฟสกี้เป็นมาเน่แทน แต่เอาเข้าจริงๆ ไม่ใช่อย่างนั้น บาเยิร์นในฤดูกาลนี้ ปรับมาใช้ระบบ 4-4-2 แทน แต่ถ้าให้เจาะจงจริงๆ คือ 4-2-2-2
ตรงกลางมีโจชัว คิมมิช กับ มาร์เซล ซาบิตเซอร์ ส่วนตัวรุกด้านบน มีโทมัส มุลเลอร์, จามาล มูเซียล่า, แซร์จ นาบรี้ และ ซาดิโอ มาเน่
1
ตัวรุก 4 คนนี้ที่ได้โอกาสลงสนาม ประสานงานกันได้อย่างเหลือเชื่อมาก บาเยิร์นเอาชนะไลป์ซิกไป 5-3 โดยมาเน่ยิงได้ 1 ลูก
ที่น่ากลัวก็คือจังหวะเข้าทำของตัวรุก 4 คน นอกจากจะเพรสซิ่งดุดันมากๆ แล้ว ยังวิ่งสลับตำแหน่งกันตลอดเวลา เดี๋ยวไปอยู่ซ้าย เดี๋ยวอยู่ขวา เดี๋ยวขยับมากลาง มันหลากหลายมากๆ จนกองหลังไลป์ซิกเอาไม่อยู่เลย
เมื่อถล่มไลป์ซิกได้ขาดลอย คว้าแชมป์ซูเปอร์คัพเรียบร้อย ก็ได้เวลาที่บุนเดสลีกา Fixture 1 จะเปิดฉาก บาเยิร์นไปเยือนแฟรงค์เฟิร์ต เจ้าของแชมป์ยูฟ่า ยูโรป้าลีก ฤดูกาลล่าสุด ซึ่งไม่ใช่งานง่ายแน่ๆ
1
ก่อนเกมเริ่ม ปีเตอร์ ฟิสเชอร์ ประธานสโมสรแฟรงค์เฟิร์ต เล่นจิตวิทยาใส่มาเน่ โดยให้สัมภาษณ์ด้วย F Word ว่า "ไอ้ห่ามาเน่นั่นมันคือใครวะ?" จงใจจะกวนประสาทให้เสียสมาธิ ซึ่งหลายคนก็บอกว่า ไปพูดจาแบบนี้ เป็นการท้าทายให้มาเน่ระเบิดฟอร์มกันหรือเปล่า
เกมเริ่มต้นขึ้น นาเกลส์มัน ใช้แผนแบบเดิมคือ 4-2-2-2 ตัวรุก 4 คน เมื่อเล่นกันได้ดีอยู่แล้ว ก็ไม่ความจำเป็นต้องเปลี่ยน และผลลัพธ์คือ แค่ครึ่งแรกเท่านั้นบาเยิร์นนำแฟรงค์เฟิร์ต 5-0 !
พอครึ่งหลัง พวกเขาผ่อนเกมลง ก่อนเอาชนะได้ด้วยสกอร์ 6-1 ซึ่งเอาจริงๆ ถ้าบาเยิร์นเร่งเกมไม่หยุด และคมกว่านี้อีกหน่อย มีโอกาสไหลถึง 8-9 ลูกได้เลย
นัดนี้มาเน่ เล่นได้อย่างโดดเด่นมากๆ เขาทั้งเลี้ยง ทั้งลาก ทั้งกระชาก จนผู้เล่นแฟรงค์เฟิร์ตขาดกระจุย ล้มหัวทิ่มหัวตำกันหมด ก่อนจะยิงได้ 1 ประตู ,ยิงโดนสกัดจากเส้นไป 1 ที และยิงชนคานไปอีก 1 ที เกือบมากๆ ที่จะทำแฮตทริกได้
คอมเมนต์ของชาวเน็ตรายหนึ่งที่เห็นมาเน่ในเกมแฟรงค์เฟิร์ต บอกว่า "มาเน่วิ่งเหมือนไม่มีวันจะหมดพลัง แค่ดูเขาเล่นผมก็เหนื่อยแทนแล้ว!"
2
สถิติโดยรวม มาเน่ได้ยิง 5 ครั้งในเกมนี้ และได้ลงเล่น 90 นาทีเต็ม โดยไม่ถูกเปลี่ยนออก เขาวิ่งอย่างสดชื่น และเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัว
ไม่ใช่แค่เล่นดีเฉพาะตัวเอง แต่การมาของมาเน่ ทำให้แผงแนวรุกเล่นได้อย่างน่ากลัวขึ้นกว่าเดิม ตัวมาเน่ ยิง 1 ลูก, มุลเลอร์ ทำแอสซิสต์ได้ 2 ครั้ง, มูเซียล่า ยิง 2 ลูก ส่วนนาบรี้ ยิง 1 แอสซิสต์ 1
หนังสือพิมพ์คิกเกอร์ มีการให้คะแนนนักเตะหลังจบเกม โดยที่เยอรมัน ถ้าเล่นดีระดับโลก จะได้เรตติ้งเป็นเลข 1 คือยิ่งเลขต่ำเท่าไหร่ ก็แปลว่าเล่นดีเท่านั้น
มาเน่ได้ 1.5 ซึ่งก็ถือว่ายอดเยี่ยมมากๆ แล้วที่น่าสนใจคือ ตัวรุกอีก 3 คน ได้เรตติ้งดีๆ ทุกคน มุลเลอร์ได้ 1.5, นาบรี้ ได้ 1.5 และ มูเซียล่าได้ 1
สิ่งที่เราเห็นได้คือ มาเน่ ปรับตัวได้เร็วมากจริงๆ การอยู่กับลิเวอร์พูลที่เล่นเพรสซิ่งตลอดเวลา ทำให้พอมาเล่นกับบาเยิร์น เขาเล่นได้สบายมากๆ
ในกลุ่มตัวรุก เมื่อมาเน่ขอบอลปั๊บ เพื่อนร่วมทีมก็ส่งมาให้ ไม่มีการตีรถเปล่าเกิดขึ้น แต่ถ้าเขาได้บอลแล้วเพื่อนอยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่ามาเน่ก็เลือกจะส่ง ไม่ได้หวงบอลอะไร ทุกอย่างมันดูสบายๆ ไหลลื่นไปหมด
หลังจบเกมกับแฟรงค์เฟิร์ต นักข่าวจาก espn ยกย่องมาเน่ว่าเป็น Pressing Monster คือบีบเกมได้เก่งมาก และเข้าใจเป็นอย่างดี ว่าต้องไปกดดันคู่แข่งคนไหน เมื่อมาเน่ได้รับคำชม เขาอธิบายว่า "ตลอดเส้นทางอาชีพของผม โชคดีที่ได้ร่วมงานกับโค้ชชาวเยอรมันมาตลอด ทั้งโรเจอร์ ชมิดท์ ที่ซัลซ์บวร์ก และคล็อปป์ โค้ชเยอรมันจะมีแนวทางที่คล้ายกันมาก นั่นคือคุณต้องพร้อมที่จะเพรสซิ่งทั้งเกม"
ด้วยฟอร์มขนาดนี้ และการยิง 2 นัดติดต่อกัน ทำให้มาเน่ ทะยานขึ้นมาเป็นเต็งหนึ่งดาวซัลโวบุนเดสลีกาทันทีแต่เพียงผู้เดียว เพราะดูเหมือนนาเกลส์มันน์จะให้ความไว้ใจเขาอย่างมาก ตัวรุกคนอื่นยังมีเปลี่ยนเข้า เปลี่ยนออก แต่มาเน่ลงเล่นเต็มเวลาเสมอ
ใน 2 นัดของบาเยิร์น (ไลป์ซิก, แฟรงค์เฟิร์ต) มีนักเตะแค่ 4 คนเท่านั้น ที่ได้ลงเล่น 90 นาทีเต็มทั้ง 2 เกม นั่นคือมานูเอล นอยเออร์, อัลฟอนโซ่ เดวีส์, โจชัว คิมมิช และ ซาดิโอ มาเน่ กล่าวคือ นี่เป็นกลุ่มแกนหลักที่พร้อมส่งลงเล่นทุกนาที
ในภาพรวมหลังจากย้ายออกจากลิเวอร์พูล มาอยู่บาเยิร์น มิวนิค ชีวิตของมาเน่ นั้นมีความสดใสไปทุกอย่าง เรื่องในสนามเขาปรับตัวกับบาเยิร์นได้เร็ว ทั้งโค้ช ทั้งแฟนบอล ทั้งเพื่อนร่วมทีมก็ยอมรับ
1
สื่อมวลชนให้เครดิตยกย่อง แม้แต่ตัวบุนเดสลีกาเอง ถ้าเราไปดูแชนแนลยูทูบ จะเห็นเลยว่า พวกเขาตัดคลิปของมาเน่เยอะแยะไปหมด เดี๋ยวถ่ายแอ็กชั่นนั้น เดี๋ยวถ่ายแอ็กชั่นนี้ มันรู้ได้เลยว่า ลีกเยอรมัน เขาเห็นมาเน่เป็นคนสำคัญจริงๆ
1
นอกจากนั้นสโมสรบาเยิร์น มิวนิค ยังให้ความไว้วางใจสูงสุด ด้วยการให้ค่าเหนื่อยแพงเป็นอันดับหนึ่งของสโมสร มากกว่าทั้งมุลเลอร์, นอยเออร์ และ คิมมิช ที่อยู่มานานเสียอีก
3
รวมถึงหน้าที่ยิงจุดโทษ มาเน่ก็ถูกวางให้เป็นตัวยิง โดยในเกมกระชับมิตรที่เจอดีซี ยูไนเต็ด เขาก็ซัดเข้ามาแล้ว คือนี่ก็เป็นประสบการณ์ใหม่เหมือนกัน เพราะโอกาสยิงจุดโทษในเกมนั้น ปกติมาเน่ไม่เคยได้รับเลย ที่ลิเวอร์พูลคนที่มีหน้าที่ยิง คือซาลาห์ ตามด้วยมิลเนอร์ และฟาบินโญ่
1
ในภาพรวมนั้น ตอนที่อยู่กับลิเวอร์พูล ก็ต้องยอมรับว่าโม ซาลาห์จะถูกให้ความสำคัญมากกว่าในหลายๆ เรื่อง ทั้งเรื่องค่าเหนื่อย และเรื่องการสังหารจุดโทษ แต่พอย้ายมาบาเยิร์นปั๊บ มาเน่ถูกยกย่องเป็นอันดับ 1 ได้รับความเชื่อมั่นแบบเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์จากคนรอบตัว เขาไม่ต้องไปอยู่ใต้ร่มเงาของใครแล้ว
ถ้าในเชิงจิตวิทยา การถูกยกให้เป็นเบอร์หนึ่ง ไม่เป็นสองรองใคร มันก็ควรจะรู้สึกดีมากกว่าจริงๆ นั่นแหละ
ตอนนี้เป้าหมายของมาเน่ คือการคว้าทุกแชมป์กับบาเยิร์น มิวนิค ซึ่งเขามีสิทธิ์ทำได้แน่นอน รวมถึงการคว้ารางวัลดาวซัลโว ซึ่งก็มีลุ้นมากๆ และถ้าทำได้ เขาจะเป็นนักเตะคนที่ 2 ในประวัติศาสตร์ ที่ได้ดาวซัลโวควบสองลีก (เยอรมัน + อังกฤษ) โดยคนเดียวก่อนหน้านี้ที่เคยทำได้ คือปิแอร์ เอเมริค-โอบาเมย็อง
ชีวิตของมาเน่ตอนนี้ดำเนินไปด้วยดีอย่างมีความสุข เขายังคงซ้อมหนัก ตั้งใจเล่นและเต็มไปด้วยความถ่อมตัวเช่นเดิม
1
หลังจบเกมแฟรงค์เฟิร์ต มีนักข่าวมาถามว่า รู้สึกอย่างไร ที่ประธานแฟรงค์เฟิร์ตแซะเขาก่อนเกมว่า "ไอ้ห่ามาเน่ นั่นมันใครวะ?" เป็นแรงกระตุ้นที่อยากจะเล่นให้ดีขึ้นไหม มาเน่ตอบว่า "ตามปกตินักเตะคนไหนในโลกถ้าได้ยินคนอื่นพูดถึงแบบนั้น มันคงเป็นกระตุ้นแน่ๆ แต่สำหรับผม ผมมีประสบการณ์กับเรื่องแบบนี้มาพอสมควรแล้ว ดังนั้นคำพูดมันไม่ได้รบกวนใจผมหรอก เพราะเขาก็แค่เสนอความเห็นของตัวเอง และผมยังให้ความเคารพเขาอยู่เช่นเดิมนะ"
4
แม้จะโดนแซะจิกกัด จงใจเล่น Mind Game แต่มาเน่ใช้ฝีเท้าพิสูจน์ว่าเขาเป็นของจริง ยิ่งไปกว่านั้นยังแสดงท่าทีถ่อมตัวเสมอ เขาตอบกลับอย่างเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งเรื่องนี้ แฟนบอลเยอรมันก็ยอมรับเลยว่า มาเน่มีคลาสจริงๆ ในการวางตัว
1
บทสรุปของมาเน่ เขาเริ่มต้นได้สวยมากที่เยอรมัน อะไรๆ ก็ดีหมด แต่สุดท้ายจะไปถึงความสำเร็จอย่างที่ตั้งใจไว้หรือไม่ ก็ยังตอบไม่ได้ตอนนี้ ต้องติดตามดูกันต่อไป
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่มั่นใจได้เลยว่าจะเกิดขึ้นแน่ๆ คือแฟนบอลบาเยิร์น มิวนิค จะหลงรักซาดิโอ มาเน่ ในเรื่องนิสัย ฝีเท้า และความเป็นมืออาชีพ เหมือนที่แฟนบอลลิเวอร์พูลเคยรู้สึกมาตลอด 6 ปีที่ร่วมทางกันมาในแอนฟิลด์
1
#NEWCHAPTERFORSADIO
โฆษณา