19 ส.ค. 2022 เวลา 03:12 • หุ้น & เศรษฐกิจ
หุ้นน่าซื้อวันนี้ 19ส.ค.65 โบรกคาดหุ้นไทยวันนี้แกว่ง Sideways ในกรอบ 1,629-1,643 จุด จากปัจจัยมหภาคที่เบาบาง แต่มีความกังวลต่อปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่มีความไม่แน่นอนสูง เชิงกลยุทธ์ยังแนะนำการหมุนการถือครองหุ้น เข้าสู่กลุ่ม Domestic Play และหลีกเลี่ยงกลุ่ม Global Play ในระยะสั้น
บล. หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเมื่อวานนี้ส่วนใหญ่ปรับตัวลดลงในกรอบแคบ จากการขาดปัจจัยหนุนเชิงมหภาคในระยะสั้น หลังรายงานผลประชุม FOMC และตัวเลขทางเศรษฐกิจวันก่อนหน้า ไม่ได้เป็นปัจจัยที่ผิดจากคาดการณ์ของตลาด สำหรับ SET Index ปิดปรับตัวลดลงเล็กน้อย -0.22% ที่ 1,636 จุด โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวขึ้นได้ดีกว่าตลาดโดยรวม ได้แก่ ยานยนต์, ปิโตรเคมี และอสังหาริมทรัพย์
สำหรับปัจจัยระดับมหภาคที่เป็น Swing factor ต่อตลาดทุนวานนี้ค่อนข้างเบาบาง โดยการรายงานตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญคือ (1) ตัวเลขเงินเฟ้อยุโรป (CPI) สำหรับเดือน ก.ค. ใกล้เคียงกับที่ตลาดทั้ง YoY และ MoM ที่ระดับ +8.9% และ +0.1% ตามลำดับ ดัชนี STOXX Europe 600 ตอบรับเชิงบวกเล็กน้อยที่ +0.39%
(2) การรายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ อยู่ที่ 2.50 แสนราย ต่ำกว่าตลาดคาดเล็กน้อยที่ 2.65 แสนรายและต่ำที่สุดในรอบ 4 สัปดาห์สะท้อนถึงภาคการจ้างงานที่ยังแข็งแกร่ง
(3) การรายงานยอดขายบ้านมือสองของสหรัฐฯ สำหรับเดือน ก.ค. อยู่ที่ 4.81 ล้านหลัง ลดลง -5.9% MoM เป็นอีกหนึ่ง Indicator สะท้อนถึงการชะลอตัวของภาคอสังหาฯ อย่างชัดเจน ซึ่งคาดจะนำไปสู่การปรับตัวลดลงของราคาบ้านและค่าเช่าในลำดับถัดไป เป็นประเด็นที่ตลาดติดตามอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเงินเฟ้อสหรัฐฯ (CPI) มีองค์ประกอบของภาคอสังหาฯ ที่สูงถึง 32%
ทั้งนี้ถึงแม้ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลงตั้งแต่ช่วงปลาย 2Q65 และแนวโน้มของการชะลอของภาคอสังหาฯ สหรัฐฯ จะผ่อนคลายความกังวลด้านเงินเฟ้อได้ในระดับหนึ่ง แต่มุมมองของสมาชิกธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังบ่งชี้ถึงความไม่แน่นอน ในการปรับใช้นโยบายการเงินตึงตัวคือ อัตราการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุม FOMC ครั้งถัดไปในเดือน ก.ย. 65 เป็นผลให้เราคาดตลาดทุนในช่วงปลายสัปดาห์นี้ไปจนถึงสิ้นสัปดาห์หน้ายังมีความผันผวนเพื่อรอติดตามการสัมมนา Jackson Hole Symposium ในวันที่ 27 ส.ค.
อย่างไรก็ตาม คาด SET Index วันนี้มีแนวโน้มเคลื่อนไหวลักษณะ Sideways ในกรอบ 1,629-1,643 จุด จากปัจจัยมหภาคที่เบาบาง และความกังวลต่อปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่มีความไม่แน่นอนสูง เชิงกลยุทธ์ยังแนะนำการหมุนการถือครองหุ้น เข้าสู่กลุ่ม Domestic Play และหลีกเลี่ยงกลุ่ม Global Play ในระยะสั้น
หุ้นเด่นตัวแรกคือ RATCH เรามีมุมมองเชิงบวกมากขึ้น หลังเข้าซื้อหุ้น 100% ของ Nexif Energy Joint Venture (NEJV) มูลค่าราว 2.1 หมื่นลบ. หลังเสร็จสิ้นธุรกรรมจะส่งผลให้กำลังการผลิตของบริษัทเพิ่มขึ้นราว 1,500MW แบ่งเป็นรับรู้รายได้ทันทีราว 500MW และอยู่ระหว่างก่อสร้างราว 1,000MW
ข้อดีของดีลดังกล่าว คือ 1)เพิ่มสัดส่วนรายได้จากโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 2)ใช้เงินกู้เต็มจำนวนส่งผลบวกโดยตรงต่อ ROE 3)เป็นส่วนเพิ่มต่อประมาณการกำไรปี 2566 ที่ 1.2 หมื่นลบ (+47% YoY) ราว 800-1,200 ลบ. และคาดว่ามีโอกาสถูกเพิ่มเข้าสู่ SET50 ในเดือน ธ.ค.2565 ราคาปัจจุบัน PER2565 เพียง 7.6 เท่า และให้ Dividend Yield 6%
หุ้นเด่น ถัดมาคือ WHA เราคาดว่ากลุ่มนิคมอุตสาหกรรมใน ASEAN จะได้อานิสงค์เชิงบวกจากการย้ายฐานการผลิตของบริษัทขนาดใหญ่ หลังสัมพันธภาพระหว่างจีนกับสหรัฐฯ มีแนวโน้มตึงเครียดเพิ่มขึ้นหลังนักการเมืองระดับสูงของสหรัฐฯ เยือนไต้หวัน
ล่าสุด Apple มีแผนย้ายฐานการผลิต Apple Watch และ MacBooks จากจีนมาเวียดนาม สอดคล้องกับมุมมองของเราต่อการย้ายฐานการผลิตเพื่อลดความเสี่ยงจากปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ และ WHA มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว หลัง BOI อนุมัติโครงการลงทุนรถยนต์ไฟฟ้ามูลค่า 1.78 หมื่นลบ.ของ BYD คาดเป็นปัจจัยหนุนความต้องการพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม
หุ้นเด่น อีกตัวคือ BEC เรามีมุมมองบวกหลังเข้าประชุมกับผู้บริหารวานนี้ คาดรายได้ 3Q65 เติบโตทั้ง YoY และ QoQ และ 4Q65 เด่นยิ่งขึ้นจากการฟื้นตัวของเม็ดเงินโฆษณา โดยคาดว่า Utilization Rate ใน 2H65 จะเพิ่มขึ้นเป็น 80-90%
กลยุทธ์ของบริษัทในการเพิ่มสัดส่วนรายได้นอกจากทีวี เช่น Digital Platform, ตลาดเพลง, รายได้จากลิขสิทธิ์ละคร รวมทั้งการลงทุนสร้างภาพยนตร์จะช่วยหนุนการเติบโตของบริษัท เราคาดกำไรปี 2566 เติบโต +18% YoY เป็น 968 ลบ.
หุ้นเด่นสุดท้าย คือ ONEE ภาพทางเทคนิค แนวต้าน 9.70 บาท แนวรับ 9.30 บาท และ Stop loss หากต่ำกว่า 9.00 บาทเรามีมุมมองบวกต่อธุรกิจบันเทิงและสื่อ ใน 2H65 เนื่องจากได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของภาคบริโภคในประเทศ และเม็ดเงินอุตสาหกรรมโฆษณาที่เร่งตัวขึ้นโดยมีปัจจัยหนุนคือการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว
บล.เอเซียพลัส สัญญาณชะลอตัวของเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว นำโดยสหรัฐฯ และ ตามมาด้วยยุโรป เชื่อว่าจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ขับเคลื่อน Fund Flow ให้ไหลเข้ามา ในตลาดหุ้นเอเซีย ซึ่งเศรษฐกิจหลายประเทศส่วนใหญ่อยู่ในช่วงฟื้นตัว เฉพาะ อย่างยิ่งในตลาดหุ้นไทย โดยที่มีผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่สร้าง New High และ Market Earning Yield Gap ที่กว้างเป็นแรงหนุน เชื่อว่า SET Index ยังอยู่ในทิศทางขึ้น เพียงแต่ในระยะสั้นเป็นการสร้างฐานหลังปรับตัวขึ้นแรง
สำหรับ Theme การลงทุนวันนี้ ฝ่ายวิจัย ศึกษา Performance ของหุ้นในช่วงที่ มีการลงทะเบียน โครงการคนละครึ่ง โดยศึกษาย้อนหลังไปใน 4 เฟสที่ผ่านมา จับ กรอบเวลา 30 วัน หลังการเปิดลงทะเบียนวันแรก พบว่า หุ้นที่มีผลตอบแทนเฉลี่ย เป็นบวกได้แก่กลุ่มเครื่องดื่มเช่น CBG, OSP และ SAPPE SET Index น่าจะพักสร้างฐานเตรียมปรับขึ้น กรอบการเคลื่อนไหววันนี้อยู่ที่ 1,625 – 1,645 จุด พอร์ตจำลองวันนี้ไม่มีการปรับเปลี่ยน แต่จะมีการปรับจุด Stop profit หุ้นบางตัวสูงขึ้น หุ้น Top Pick เลือก BEM, SAPPE และ TIDLOR
บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า วันนี้คาด SET แกว่ง Sideways Up ในกรอบแนวรับ 1,630 จุด และแนวต้าน1,650 จุด เน้นหุ้นคาดแนวโน้มกำไรดี
โดยหุ้นเด่นวันนี้แนะนำ ASK คาดแนวโน้มผลการดำเนินงานปีนี้ยังคงเติบโตดี (คาด EPSGrowth +25%YOY) จากความต้องการสินเชื่อ
รถบรรทุกยังแข็งแกร่ง ผสานกับแรงกดดันทางด้านต้นทุนทางการเงินที่จะน้อยลงเนื่องจากล่าสุด Fitch ประเมินCredit rating ที่ระดับ A สูง
กว่าเดิมที่ TRIS เคยประเมินที่ระดับ BBB+ (สูงขึ้น 2 ขั้น)เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 48 บาท
หุ้นเด่นตัวต่อมาคือ WICE คาดแนวโน้ม 3Q65 จะขยายตัวขึ้น สอดคล้องกับภาพรวมปริมาณการขนส่งที่ยังอยู่ในเกณฑ์ดี (Sea & Air)
รวมถึง GPM ที่ยังมีแนวโน้มที่ดีต่อเนื่อง ในขณะ ที่Valuation ปัจจุบันเทรดเพียงPE 12x ต่ำกว่ากลุ่มและค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 22x@ป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 22.1 บาท
บล.ไทยพาณิชย์ มองตลาดเริ่มมีความเสี่ยงจาก 1) ตัวเลขเศรษฐกิจชะลอตัว โดยสัปดาห์หน้าติดตามดัชนี PMI สหรัฐ และยูโรโซน รวมถึง GDP สหรัฐ Q2 (ประมาณการครั้งที่สอง) ที่มีโอกาสหดตัวมากขึ้น 2) สถานการณ์โควิดในจีนที่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น และ 3) เงินบาทที่เริ่มอ่อนค่าเป็นลบต่อ fund flow ดังนั้นยังคงให้ระวังกรอบล่าง แนวรับ 1,629 - 1,618 จุด หากต่ำกว่า จะเริ่มเป็นสัญญาณลบ ด้านแนวต้านอยู่ที่ 1,643 - 1,650 จุด
หุ้นเด่นวันนี้แนะนำ BCP (ราคาเป้าหมาย 44.00 บ.) 2H65 คาดกำไรปกติยังแข็งแกร่งจากค่าการตลาดที่ดีขึ้น (หลักๆ จากน้ำมันดีเซลและน้ำมันเบนซิน) หลังความต้องการใช้น้ำมันเพื่อการขนส่งเพิ่มขึ้น ขณะที่ธุรกิจ E&P จะสร้างกำไรเพิ่มขึ้นจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นและราคาน้ำมันที่แข็งแกร่ง และกำไรจากธุรกิจพลังงานไฟฟ้าน่าจะยังทรงตัว นอกจากนี้ล่าสุดบริษัทยังประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 1.25 บาท (XD 31 ส.ค.) คิดเป็น Div. yield 3.8%
หุ้นเด่นอีกตัวคือ BJC (ราคาเป้าหมาย 44.00 บ.) 3Q65 คาดกำไรเติบโต YoY โดยได้รับการสนับสนุนจากยอดขาย และรายได้ค่าเช่าและรายได้อื่นที่ฟื้นตัวดีขึ้นตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่กลับมา แต่จะอยู่ในระดับที่ค่อนข้างทรงตัว QoQ จากปัจจัยฤดูกาล ขณะที่ราคาหุ้นยังต่ำกว่า 20% จากระดับก่อนเกิด COVID-19 ซึ่งมองยังไม่สะท้อนกำไรที่ฟื้นตัว
บล.กสิกรไทย มองดัชนีหุ้นไทยวันนี้จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,616-1,640จุด โดยหุ้นเด่นวันนี้แนะนำ 3 ตัวคือ CPALL ราคาปัจจุบันอยู่ที่ 61 บาท เป้าหมาย 66.50 บาท ตัวต่อมาคือ BCP ราคาปัจจุบัน 32.75 บาท ราคาเป้าหมาย 35.75 บาท และ WHA ราคาปัจจุบัน 3.26 บาท ราคาเป้าหมาย 3.58 บาท
อัตราแลกเปลี่ยน-ราคาทองคำ ประจำวันที่ 19 สิงหาคม 65
เงินบาทอ่อนค่า ดอลลาร์แข็ง-บอนด์ยีลด์พุ่ง
ราคาทองคำร่วง 50 บาท รูปพรรณขาย 30,300 บาท
📲 ติดตามข่าวหุ้นและการลงทุนได้ทาง
•Line @TNNWEALTH : https://bit.ly/3tCKmiD
หรือดูรายการ Live ได้ทาง https://bit.ly/3HmUu4O
โฆษณา