2 ก.ย. 2022 เวลา 00:37 • ความคิดเห็น
พ่อคนอื่นสอนลูกตัวเอง พ่อตัวเองสอนลูกคนอื่น
มีพี่ที่เคารพนับถือกันเอ่ยปากขอให้ผมช่วยคุยกับลูกสองคนของพี่เขาให้หน่อย ลูกของพี่เขากำลังเรียนปริญญาโทอยู่ต่างประเทศและจะกลับมาเริ่มทำงานในไม่ช้า พี่เขาคงเห็นผมมีประสบการณ์โน่นนี่ที่พอจะแนะนำได้ในเรื่องการใช้ชีวิต ทัศนคติและแนวทางการตัดสินใจเลือกอาชีพได้ ซึ่งผมเองก็ยินดี
แต่ผมก็มีเรื่องข้องใจอยู่นิดหน่อย เพราะจริงๆแล้วพี่เขาก็เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จพอสมควรคนหนึ่ง เห็นโลกมามาก ประสบการณ์ชีวิตก็ไม่แพ้ใคร
ผมก็เลยสงสัยว่าทำไมพี่เขาถึงไม่แนะนำลูกทั้งสองเอง ลูกสาวผมโตหน่อยก็ยังว่าจะไปขอคำแนะนำพี่เขาเลย พี่เขาก็บอกว่าลูกมันไม่ฟัง ลูกมันฟังทุกคนยกเว้นพ่อมัน บอกว่าคนโน้นแนะนำอย่างนี้ คนนี้แนะนำอย่างโน้น อ้างคำพูดของทุกคนยกเว้นพ่อตัวเอง น้ำเสียงก็ดูงอนๆลูกอยู่นิดๆ ตอนที่พูดอยู่ ลูกสาวก็นั่งอยู่ไม่ไกลเธอก็ได้แต่ยิ้มๆ
2
ตอนที่ผมอายุใกล้ๆลูกสาวพี่เขา ในช่วงเรียนอยู่ที่เมืองไทยจนไปทำงานอยู่ต่างประเทศและเรียนต่อโท ผมต้องห่างครอบครัวอยู่หลายปี ในช่วงนั้นป๊าผมเขียนจดหมายหาผมอยู่ตลอด เขียนทีก็หลายหน้า สอนเรื่องราวชีวิตบ้าง ว่ากล่าวตักเตือนบ้าง เล่าเหตุการณ์ความเป็นไปต่างๆบ้าง
เอาเข้าจริงๆแล้ว ป๊าเขียนแบบนี้ตั้งแต่ผมเรียนอยู่โรงเรียนประจำ และพยายามฝึกให้ผมหัดเขียนตอบอยู่เป็นระยะ จดหมายแบบนี้คงมีเป็นพันฉบับตั้งแต่ผมเด็กๆ บางเรื่องก็เข้าหัวบ้างไม่เข้าหัวบ้าง เหมือนกับลูกสาวของพี่เขา
ป๊าผมเป็นคนฉลาดที่ไม่ได้เรียนสูงเพราะต้องออกมาช่วยอากงตั้งแต่มัธยม เพื่อนๆป๊าส่วนใหญ่ก็เข้าจุฬาฯกันหมด ป๊าชอบอ่านหนังสือมาก มีเรื่องเล่าต่างๆมากมาย ตอนที่เป็นนักธุรกิจก็เป็นนักธุรกิจต่างจังหวัดที่ประสบความสำเร็จ มีประสบการณ์ชีวิตเยอะมาก มีช่วงหนึ่งของชีวิต ป๊ากับม้าตัดสินใจไปดูแลลูกสาวสี่คนที่ไปเรียนที่อเมริกา ป๊าเลยไปเริ่มธุรกิจเล็กๆที่โน่น
1
จากคนที่ไม่ได้เรียนสูงๆ ภาษาก็แทบพูดไม่ค่อยได้ ป๊าค่อยๆหาลู่ทาง ไปเป็นเจ้าของร้านไอติมเจ้าดัง ก่อนที่จะผันตัวไปทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์สู้กับฝรั่งได้อย่างน่าทึ่ง ป๊าค่อยๆอ่านกฏหมาย ศึกษาลู่ทาง จนมีแนวทางของตัวเอง
ฝรั่งที่ทำธุรกิจกับป๊าหลายคนยังเอาป๊าไปเล่าเป็นกรณีศึกษาของคนที่ภาษาแทบไม่กระดิกหูแต่ตั้งตัวจนทำธุรกิจได้และประสบความสำเร็จในอเมริกาได้อย่างมหัศจรรย์ ซึ่งป๊าก็ใช้ประสบการณ์และความเข้าใจทางธุรกิจที่เมืองไทยผสมกับนิสัยและความฉลาดส่วนตัวจนทำได้
1
ประสบการณ์ที่โชกโชนและแหลมคมพร้อมมันสมองของป๊า คงมองเห็นแนวทางที่ดีอะไรหลายๆอย่าง ก็เลยพยายามสอนผมผ่านจดหมายด้วยความตั้งใจ แต่ผมก็คงเหมือนลูกของพี่เขาที่อ่านแล้วก็ผ่านไป เข้าหัวเข้าสมองน้อยมาก อาจจะด้วยคุณวุฒิและวัยวุฒิที่ยังไม่เข้าใจนัก เพียงแต่รับรู้ได้ถึงความหวังดีทุกครั้งที่ได้อ่านจดหมาย นอกนั้นก็ไม่คิดว่าจะจำอะไรได้มากนัก
2
เมื่อวานก่อน ผมไปเจอกระเป๋าเดินทางใบหนึ่งในห้องเก็บของ ในนั้นมีเอกสารเก่าๆและรูปบางส่วนของผมเก็บไว้อยู่จำนวนหนึ่ง เอามานั่งพลิกๆดูก็ระลึกชาติได้เพลินๆ แล้วผมก็เจอจดหมายอยู่สามฉบับจากเป็นพันๆฉบับที่ป๊าเขียนหา
1
จดหมายฉบับหนึ่งป๊าเขียนแนะนำผมซึ่งตอนนั้นคงเริ่มทำงานใหม่ๆแล้วคงบ่นว่าทำงานหนักและเครียดมาก ป๊าเลยเขียนสอนโดยมีใจความตอนหนึ่งดังนี้
“ ..โจ้คงจำนิทานที่ป๊าเคยเล่าให้ฟังได้ แบบย่อๆก็คือ มีเศรษฐีผู้ประสบความสำเร็จในชีวิตคนหนี่งป่วยหนักใกล้ตาย เรียกลูกๆมาใกล้ๆ สั่งสอนง่ายๆว่า ชีวิตคนเราจะประสบความสำเร็จในการงานและชีวิตส่วนตัวจะต้องมีหลักยึดอยู่สองข้อ ข้อหนึ่งคือความซื่อสัตย์ และข้อสองคือมีไหวพริบ
1
ลูกก็ถามพ่อว่าความซื่อสัตย์หมายถึงอะไร พ่อบอกว่าไม่ว่าจะรับปากใคร เรื่องเล็กหรือใหญ่ จะต้องซื่อสัตย์ ทำตามที่รับปากให้ได้ ถ้าปฏิบัติได้คนก็จะเชื่อถือ ทำอะไรก็จะมีแต่ความสำเร็จ ลูกก็เลยเปรยว่ามีแค่ข้อหนึ่งก็น่าจะพอแล้ว ทำไมต้องมีข้อสองด้วย พ่อก็อธิบายว่า ข้อสองให้มีไหวพริบ ต้องรู้จักฉลาด ไม่รับปากใครง่ายๆ ก่อนรับปากต้องมั่นใจว่าเรามีเวลาพอหรือเปล่า ประโยชน์ที่ได้คุ้มค่าหรือไม่ รับปากเฉพาะที่เราทำได้จริงๆเท่านั้น
3
ตอนนี้โจ้อาจจะมีแต่ข้อหนึ่งมาเกินไป และข้อสองน้อยเกินไป อาจจะเป็นเพราะว่าป๊าคอยสอนแต่ข้อหนึ่ง ไม่ค่อยได้สอนข้อสอง ถ้าเด็กๆทบทวนให้ดีจะเห็นว่าสำหรับลูกๆแล้ว ป๊ารับปากอะไรจะพยายามทำให้เสมอ และในขณะเดียวกันถ้าลูกๆรับปากแล้วไม่ทำหรือละเลย ป๊าจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
คนที่มีข้อหนึ่งมากๆ มักจะปฏิเสธใครไม่เป็น ฝรั่งถึงกับเขียนตำราออกมาขายชื่อ “how to say no” รู้จักปฏิเสธอย่างนุ่มนวล เป็นศิลปะที่ต้องฝึกและเรียนรู้ให้มากๆ จะทำให้เราไม่มีภาระที่ต้องทำอะไรมากไปจนเครียดอย่างที่โจ้เป็นอยู่ทุกวันนี้”
ในตอนนั้นผมก็คงไม่ได้คิดอะไรมาก อาจจะอ่านผ่านๆแล้วไปหาคำแนะนำจากที่อื่นแทน แต่พอมาอ่านตอนนี้ก็รู้เลยว่าเป็นคำสอนที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้งจากคนที่ผ่านการทำงานมามากและเขียนด้วยความห่วงใย ผมได้แต่เสียดายที่ไม่ได้เก็บจดหมายจำนวนมากนั้นไว้ เพราะถ้ามาอ่านในวันนี้ คงมีข้อคิดดีๆอะไรมากมายในวันที่เราเข้าใจอะไรๆมากขึ้น
แต่พอคิดดีๆแล้ว จะเรียกว่าเสียดายมากนักก็ไม่เชิง เพราะผมรู้สึกว่าผมอาจจะจำคำสอนและวิธีคิดต่างๆในจดหมายป๊าไม่ได้แต่หลักการในการทำงานและการใช้ชีวิตที่ผมได้รับอิทธิพลจากการอ่านจดหมายป๊าคงมีอยู่ในตัวพอสมควร ตัวอย่างหนึ่งที่ซึมซับแบบไม่รู้ตัวที่เพิ่งสังเกตุเห็นจากการอ่านจดหมายเก่าๆรอบนี้ก็คือ สำนวนและแนวทางการเขียนของผมแทบจะเหมือนกับป๊าอย่างไม่น่าเชื่อ
2
ผมตัดท่อนหนึ่งของจดหมายของป๊ามาส่วนหนึ่งก็เผื่อว่าลูกของพี่เขาจะได้อ่าน เพราะคำสอนสั้นๆที่ผมบังเอิญเจอนั้นน่าจะเหมาะเป็นอย่างยิ่งกับคนในวัยเริ่มทำงาน และมากไปกว่านั้น ผมก็อยากให้ป๊าได้อ่านและได้รู้ว่า จดหมายที่ป๊าเขียนมาตลอดหลายสิบปีนั้นไม่ได้เสียเปล่า และผมเองก็ตั้งใจจะใช้วิธีเดียวกันสอนลูกสาวผมต่อไป
1
ป๊าอ่านแล้วก็คงดีใจ….
โฆษณา