28 พ.ย. 2022 เวลา 01:09 • การศึกษา
กรรมของการไม่เป็นภรรยาที่ดี
คำสอนในทางพระพุทธศาสนาเป็นอมตธรรมอันลํ้าค่า เป็นสิ่งที่สามารถนำพาสรรพสัตว์ทั้งหลายผู้ปฏิบัติตาม ให้ไปสู่ความบริสุทธิ์หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะได้อย่างแท้จริง โดยขึ้นอยู่ที่ว่าจะทุ่มเทแรงกายแรงใจ มุ่งเข้าไปศึกษาคำสอนและลงมือปฏิบัติกันมากน้อยเพียงไร เพราะกว่าที่พระพุทธศาสนาจะบังเกิดขึ้นมาในโลกได้ เป็นสิ่งที่ยากแสนยาก จะต้องมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาบังเกิดขึ้น
และกว่าที่พระองค์จะได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์จะต้องทุ่มเทสร้างบารมีอย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ยอมอดทนทุกอย่างเพื่อสร้างบารมีให้แก่รอบ จนกระทั่งได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นที่พึ่งของโลก การบังเกิดขึ้นของพระองค์ท่าน จึงเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ดังนั้นใครก็ตามที่ประพฤติตามพุทธโอวาท ชีวิตก็จะประสบแต่ความเจริญรุ่งเรืองอย่างเดียว
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ขุททกนิกาย ธรรมบทว่า...
 
“อถ ปาปานิ กมฺมานิ กรํ พาโล น พุชฺฌติ
เสหิ กมฺเมหิ ทุมฺเมโธ อคฺคิทฑฺโฒว ตปฺปติ
คนพาลทำบาปกรรมทั้งหลาย ก็ไม่รู้สึกตัว ผู้มีปัญญาทราม ย่อมเดือดร้อนเพราะกรรมของตนในภายหลัง ดุจถูกไฟไหม้”
คนส่วนใหญ่ที่ชอบทำบาปอกุศลเป็นอาจิณ เพราะเขายังไม่เห็นผลของบาปว่า จะส่งผลเป็นวิบากอันเผ็ดร้อนเพียงไร และจะเสียใจก็ต่อเมื่อบาปนั้นตามส่งผล กว่าจะทราบได้ในเวลาต่อมาก็สายเกินไป แก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว เหมือนคนที่ไปลักขโมยเที่ยวจี้ปล้นผู้อื่น
เมื่อถูกตำรวจจับกุมเข้าคุกเข้าตารางแล้ว จะอ้อนวอนขอร้องเจ้าหน้าที่ว่า ให้ปล่อยตัวไปเถอะ แล้วรับรองว่าจะไม่ไปลักขโมยปล้นใครเขาอีก เจ้าหน้าที่บ้านเมืองก็คงไม่ยอมปล่อยหรือลดหย่อนผ่อนโทษให้ตามคำขอเช่นนั้นได้ มีแต่ต้องตัดสินคดีความไปตามกฎหมายบ้านเมือง หากผิดก็ว่าไปตามผิด ทำความผิดมากก็มีโทษมาก แต่ถ้าไม่ได้ทำผิดถึงขั้นร้ายแรงอะไร ก็เพียงถูกปรับหรือสั่งสอนตักเตือนให้หลาบจำ แล้วให้ญาติมาประกันตัวออกไป
แต่เรื่องของการเสวยวิบากกรรมในทุคติภูมิ มีความลำบากแสนสาหัสยิ่งกว่าการรับโทษในเมืองมนุษย์มากยิ่งนัก จะนำเงินทองไปเพื่อทำการช่วยเหลือหมู่ญาติที่ตกไปในอบายภูมิ ให้หลุดพ้นออกมาก็ไม่ได้ ต้องอาศัยกำลังบุญอย่างเดียวเท่านั้น จึงจะช่วยให้พ้นจากทุกข์ในอบายได้ คำกล่าวของผู้รู้ถึงบอกเอาไว้ว่า ปุญฺญานิ ปรโลกสฺมึ ปติฏฺฐา โหนฺติ ปาณินํ คือบุญเท่านั้นเป็นที่พึ่งของหมู่สัตว์ทั้งหลายในปรโลก
เหมือนในครั้งอดีตกาล มีอุบาสกอยู่ท่านหนึ่งชื่อนันทิเสน เป็นผู้มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา หมั่นทำบุญให้ทานไม่เคยขาด ส่วนภรรยาของท่านชื่อนันทา เป็นคนดุร้าย เอาแต่ใจตนเอง เป็นภรรยาชนิดวธกาภริยา คือ เป็นคนตระหนี่เหนียวแน่น พูดจาหยาบคายทั้งต่อสามีและเพื่อนบ้าน ไม่เคารพยำเกรงต่อญาติผู้ใหญ่ แต่นันทิเสนก็ยังอดทนอยู่ร่วมกับนาง เพราะไม่อยากให้ครอบครัวแตกแยก
ต่อมาภรรยาเสียชีวิตลง ไปบังเกิดในกำเนิดของเปรต ได้มาแสดงตนในที่ไม่ไกลจากหมู่บ้านนั้น นันทิเสนอุบาสกเห็นนางเปรตเข้ามาหาแต่ก็จำไม่ได้ เพราะรูปร่างหน้าตาของนางเปลี่ยนไป จึงไต่ถามว่า “ท่านมีผิวพรรณดำ มีรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว เนื้อตัวหยาบกร้าน มีตาเหลือง เขี้ยวงอกออกเหมือนหมู ท่านเป็นมนุษย์หรืออมนุษย์กันแน่”
นางเปรตตอบว่า “ข้าแต่ท่านนันทิเสน เมื่อก่อนฉันชื่อนันทา เป็นภรรยาของท่านเอง แต่เพราะทำบาปอกุศลเอาไว้จึงจากโลกนี้ไปสู่เปตโลก แม้แต่ผ้านุ่งผ้าห่มก็ไม่มีให้ใส่ ต้องทนหนาวร้อนทรมานอยู่ในเปรตวิสัยนี้ ฉันอยากจะกลับไปเป็นมนุษย์ เป็นศรีภรรยาของท่านเพื่อจะได้ทำบุญกุศลให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป” นันทิเสนถามว่า “แล้วท่านทำกรรมชั่วอะไรไว้บ้างล่ะ จึงมาเกิดเป็นเปรต”
นางเปรตชีเปลือยผู้น่าสงสาร ก็สารภาพบาปกรรมที่ตนเป็นคนดุร้าย และตระหนี่ในสมัยที่เป็นมนุษย์ พร้อมทั้งอ้อนวอนขอร้องสามีให้ช่วยนางให้พ้นจากทุกข์ในเปตโลก ด้วยความรักและสงสารนาง นันทิเสนจึงบอกว่า “เอาล่ะ เราจะให้ผ้านุ่งผ้าห่มแก่ท่านเอง ท่านจงนุ่งผ้าผืนนี้แล้วตามเรามาที่บ้าน เมื่อไปถึงจะได้ประดับเสื้อผ้าอาภรณ์ และรับประทานอาหารหวานคาวอีกมากมาย ท่านจะได้พบหน้าลูกชาย ลูกสาว และลูกสะใภ้ของท่านอีกด้วย”
นางเปรตรู้ว่าอดีตสามีมีความรักและเมตตาต่อนางยังไม่เสื่อมคลาย ก็รู้สึกดีใจ แต่เพราะการให้เสื้อผ้าอาภรณ์ของนันทิเสนนั้นยังไม่ถูกหลักวิชา นางจึงไม่สามารถสวมใส่ได้ จึงบอกกับนันทิเสนว่า “ถึงท่านจะให้ผ้าราคาแพงแค่ไหนแก่ดิฉัน ผ้าผืนนั้นก็ไม่สามารถสำเร็จประโยชน์แก่ดิฉันได้เลย ขอให้ท่านถวายสังฆทานแก่ภิกษุสงฆ์ผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ผู้ปราศจากราคะ เป็นพหูสูต บำรุงท่านเหล่านั้นให้อิ่มหนำด้วยข้าวน้ำ แล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้ฉัน เมื่อท่านทำอย่างนั้น จึงจะสำเร็จประโยชน์”
เมื่อนันทิเสนอุบาสกรับคำนางแล้วก็รีบกลับไปบ้าน สั่งตระเตรียมอาหารหวานคาวมากมายเพื่อถวายพระสงฆ์ โดยปกติตนเองก็มีความเลื่อมใสในพระรัตนตรัยอยู่แล้ว แต่วันนั้นได้ทำอย่างประณีตเป็นพิเศษ ได้ถวายข้าว น้ำ ของเคี้ยว ผ้า เสนาสนะ ร่ม ของหอม ดอกไม้ และรองเท้า แล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้นางนันทา ข้าว น้ำและเครื่องนุ่งห่มอันเป็นทิพย์ก็บังเกิดขึ้นแก่เปรตชีเปลือย
นางได้กายใหม่อันเป็นทิพย์ที่เกิดจากการอนุโมทนาบุญในทานนั้น นางมีร่างกายสะอาดผิวพรรณวรรณะผ่องใส อิ่มหนำสำราญด้วยข้าวน้ำอันเป็นทิพย์ ประดับประดาด้วยอาภรณ์อันวิจิตร แล้วเข้าไปหาอดีตสามีของนาง
นันทิเสนอุบาสกเห็นเทพธิดาเข้ามาหา ก็จำนางไม่ได้อีกเพราะอัตภาพของเธอเปลี่ยนไปเป็นกายทิพย์เสียแล้ว จึงถามว่า “ดูก่อนเทพธิดา ท่านมีวรรณะงดงามยิ่งนัก รัศมีกายของท่านส่องสว่างไปทั่วทุกทิศดุจดาวประกายพรึก ท่านมีวรรณะงดงามเช่นนี้เพราะทำบุญอะไรเอาไว้ โภคะทุกสิ่งทุกอย่างอันเป็นที่พอใจ บังเกิดขึ้นแก่ท่านเพราะกรรมอะไร และท่านมีจุดประสงค์อะไรจึงมาปรากฎกายให้เราเห็นเป็นบุญตา”
นันทาเทพธิดาบอกอดีตสามีว่า “เมื่อก่อน ฉันชื่อนันทาเป็นภรรยาของท่านนี่แหละ ได้ทำกรรมชั่วช้า ละจากมนุษยโลกนี้ไปสู่เปตโลก ฉันอนุโมทนาบุญในทานที่ท่านให้แล้ว จึงเป็นผู้พ้นจากความทุกข์ทรมานในอัตภาพของเปรต ไม่มีภัยแต่ที่ไหน ๆ อีกต่อไป เพราะความเมตตาของท่านที่มีต่อดิฉัน
ข้าแต่สามีผู้ประเสริฐ ขอท่านพร้อมทั้งลูก ๆ และหมู่ญาติทั้งปวง จงมีอายุยืนนาน อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขเถิด ดูก่อนคฤหบดี ท่านประพฤติธรรมและให้ทานในโลกนี้แล้ว ท่านจะเข้าถึงทิพยสถานอันไม่เศร้าโศก ปราศจากธุลี ปลอดภัย อันเป็นที่อยู่ของผู้มีบุญ ท่านกำจัดมลทิน คือความตระหนี่แล้ว เป็นผู้ที่ใคร ๆ ไม่อาจติเตียนได้ จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์อย่างแน่นอน”
ครั้นเทพธิดาประกาศทิพยสมบัติของตน และเหตุที่ทำให้ได้ทิพยสมบัตินั้นแก่นันทิเสนอุบาสกแล้ว ก็อันตรธานหายไปต่อหน้าต่อตาของอดีตสามี ไปปรากฏเป็นเทพนารีบนสวรรค์อันเป็นที่อยู่ของตน อุบาสกเมื่อรู้ว่าอดีตภรรยาได้ไปเสวยสุขในสวรรค์แล้วก็รู้สึกโล่งใจ อีกทั้งเห็นอานิสงส์ที่บังเกิดขึ้นจากการทำบุญถูกเนื้อนาบุญที่ได้ถวายสังฆทานแด่พระสงฆ์ผู้เป็นทักขิไณยบุคคล
จึงบอกเรื่องราวนั้นให้หมู่ญาติได้รับฟังกัน เพื่อจะได้ขวนขวายในการสั่งสมบุญกันตลอดชีวิตต่อไป เมื่อละโลกไปแล้ว จะได้ไปเสวยทิพยสมบัติในสุคติโลกสวรรค์
จะเห็นได้ว่า บุญที่เราทำกรรมที่เราสร้างเอาไว้ ไม่ได้สูญหายไปไหนเลย จะติดเป็นดวงบุญและดวงบาป คอยติดตามตัวเราไปทุกหนทุกแห่ง บาปกรรมแม้เพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ล้วนส่งผลทั้งสิ้น ทุกอย่างที่เราทำเอาไว้ไม่ว่าดีหรือชั่ว ได้ถูกบันทึกเอาไว้ในศูนย์กลางกายของเราเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่รอวันส่งผลเท่านั้นเอง เหมือนระเบิดเวลาที่ตั้งเอาไว้ เมื่อถึงเวลามันก็ระเบิดขึ้นมา
เมื่อทุกท่านเข้าใจกันอย่างนี้แล้ว ก็ควรเร่งสั่งสมบุญกันให้เต็มที่ ก่อนที่จะหมดเวลาในเมืองมนุษย์นี้ไป จะได้ไม่ต้องมาเสียใจในภายหลัง เหมือนดังเปรตในเรื่องนี้ ต้องเที่ยวไปขอส่วนบุญจากอดีตสามีที่อุทิศไปให้ อย่าเป็นอย่างนั้นกันเลยนะ เราต้องทำบุญด้วยตัวของเราเอง ไม่ใช่ไปรอขอส่วนบุญจากคนอื่น
ถ้าเป็นอย่างนั้นเขาเรียกว่า เกิดมาเสียศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เกิดมาทั้งทีต้องฉลาดขวนขวายสร้างบารมีให้เต็มที่ ให้เกิดมีบุญท่วมฟ้าสมบัติครอบจักรวาลกันไปอย่างนั้นเลย เพราะบุญกุศลที่เราทำเอาไว้จะเป็นที่พึ่งให้กับตัวเราได้อย่างแท้จริง และยังส่งผลดีไปถึงหมู่ญาติ และสรรพสัตว์ทั้งหลายอีกด้วย
จากหนังสือธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับผลของบาป หน้า ๓๒๑ – ๓๒๘
อ้างอิง.......พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏฯ (ภาษาไทย)
เล่ม ๔๙ หน้า ๑๘๗
โฆษณา