28 ก.ย. 2022 เวลา 03:30 • หุ้น & เศรษฐกิจ
รู้จัก Home Bias อคติรักชาติ ที่ทำให้เราพลาด โอกาสลงทุน
เป็นปกติที่การลงทุนโดยมนุษย์ ในหลาย ๆ ครั้งจะมาจากการตัดสินใจโดยมีอคติ เนื่องจากมนุษย์เรา มักจะตัดสินใจด้วยประสบการณ์ และความรู้สึกของตัวเอง มากกว่าการใช้ข้อมูล ตรรกะ หรือเหตุผล จนทำให้ได้รับผลตอบแทนน้อยกว่าที่ควรจะเป็น
และหนึ่งในอคติที่นักลงทุนจำนวนมาก อาจกำลังเป็นอยู่โดยไม่รู้ตัว ก็คือการเลือกลงทุนแต่หุ้นในประเทศมากเกินไป จนทำให้เสียโอกาสการลงทุน ในหุ้นต่างประเทศที่กำลังเติบโต หรือที่เรียกว่า Home Bias นั่นเอง
และถ้าหากคุณสงสัย ว่าการลงทุนหุ้นในประเทศมากเกินไป ทำไมถึงส่งผลเสียแบบนี้ ?
BillionMoney จะย่อยให้เข้าใจ
สาเหตุที่นักลงทุนเกิด Home Bias นั้น อย่างแรกคือ นักลงทุนมีความคุ้นเคยกับหุ้นในประเทศ มากกว่าหุ้นต่างประเทศ เพราะนักลงทุนนั้น ก็ย่อมต้องคุ้นเคยกับบริษัท ในประเทศที่ตัวเองอาศัยอยู่ มากกว่าบริษัทในต่างประเทศอยู่แล้ว
ทำให้นักลงทุนใช้เวลากับการศึกษา เพื่อตัดสินใจลงทุนกับหุ้นในประเทศ น้อยกว่าการใช้เวลาศึกษาหุ้นต่างประเทศ เพราะการอ่านรายงานประจำปี หรืองบการเงิน ในภาษาที่เราพูดอยู่ทุกวัน ก็ย่อมทำความเข้าใจได้ง่ายกว่า การอ่านเอกสารทางการเงินเหล่านี้ ในภาษาต่างประเทศที่เราไม่รู้จัก
นั่นจึงทำให้นักลงทุน รู้สึกมั่นใจที่จะลงทุนกับหุ้นในประเทศ มากกว่าลงทุนกับหุ้นต่างประเทศ เนื่องจากนักลงทุน มีข้อมูลเกี่ยวกับหุ้นในประเทศ เพื่อใช้สำหรับประกอบการตัดสินใจเยอะกว่า อีกทั้งนักลงทุนบางส่วน ก็อาจจะรู้สึกดีกว่า เมื่อได้ลงทุนกับหุ้นของประเทศตัวเอง เนื่องจากมองว่าเป็นการสนับสนุน เศรษฐกิจของประเทศชาติในทางอ้อมด้วย
ส่วนเหตุผลต่อมาคือ การลงทุนในต่างประเทศ มีต้นทุนการทำธุรกรรมที่สูง เนื่องจากบางประเทศ อาจมีการควบคุมเงินทุนไหลเข้าและออกที่เข้มงวด หรือกำหนดให้ผู้ที่สามารถซื้อขายหุ้นได้ จะต้องอยู่ในประเทศเท่านั้น ก็ทำให้การลงทุนในต่างประเทศ ต้องทำผ่านตัวกลางอีกทีหนึ่ง ซึ่งก็เป็นการเพิ่มต้นทุนในการลงทุนเข้าไปอีก
นอกจากนี้ยังมีเรื่องภาษี ที่บางครั้งต่างประเทศอาจจะเก็บภาษีสูงกว่า เช่น เงินปันผลหุ้นไทย เสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย 10% แต่เงินปันผลของหุ้นสหรัฐฯ กลับต้องเสียภาษีตั้งแต่ 15% ถึง 37% ซึ่งสูงกว่าประเทศไทยมาก จึงทำให้นักลงทุนไทย สนใจที่จะลงทุนกับหุ้นไทยมากกว่า
และเหตุผลสุดท้ายคือ การลงทุนในต่างประเทศ มีความเสี่ยงที่สูงมาก ทั้งจากความผันผวนของค่าเงิน ที่จะทำให้มูลค่าพอร์ตการลงทุน มีการเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยครั้ง และนอกจากค่าเงินแล้ว นโยบายรัฐของประเทศที่ไปลงทุน ก็สามารถเพิ่มความเสี่ยง ให้กับการลงทุนในต่างประเทศได้ด้วย
1
ยกตัวอย่างเช่น นโยบาย Zero Covid ของรัฐบาลจีน ก็ทำให้ตลาดหุ้นจีนซบเซามาเป็นเวลานาน เนื่องจากธุรกิจต่าง ๆ ได้รับผลกระทบ จากการต้องถูกปิดเมืองอยู่บ่อยครั้ง
ด้วยเหตุผลทั้งหมดข้างต้น จึงไม่น่าแปลกใจที่นักลงทุนส่วนใหญ่ มักจะลงทุนหุ้นในประเทศ มากกว่าลงทุนในหุ้นต่างประเทศ เนื่องจากรู้จักหุ้นดีกว่า, มีต้นทุนในการทำธุรกรรมที่ต่ำกว่า แถมยังไม่ต้องเผชิญความเสี่ยง จากอัตราแลกเปลี่ยน และนโยบายรัฐของประเทศอื่นอีกด้วย
 
แต่อย่างไรก็ตาม การลงทุนกับหุ้นในประเทศมากจนเกินไป กลับเป็นการเพิ่มความเสี่ยงที่จะขาดทุน จนทำให้เราได้รับผลตอบแทน น้อยกว่าที่ควรจะเป็นได้ เพราะการที่เราลงทุนในประเทศมาก ๆ เช่น ลงทุนแต่หุ้นไทยเพียงอย่างเดียว จะทำให้เราไม่ได้กระจายความเสี่ยงออกไป
ส่งผลให้เมื่อวันหนึ่ง ตลาดหุ้นไทยเกิดปรับตัวลงอย่างรุนแรง ก็จะทำให้พอร์ตการลงทุนของเรา ประสบกับการขาดทุนอย่างหนัก เมื่อเทียบกับพอร์ตการลงทุน ที่มีการลงทุนในหุ้นต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยดึงให้ผลตอบแทนของพอร์ตไม่ติดลบมาก เพราะหุ้นต่างประเทศส่วนมาก ไม่ได้เคลื่อนไหวไปตามตลาดหุ้นไทย
นอกจากนี้ การลงทุนหุ้นในประเทศเพียงอย่างเดียว จะทำให้เราพลาดโอกาสการลงทุน ในหุ้นของประเทศที่กำลังเติบโตเร็ว อย่างเช่น หุ้นในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ (Emerging Market) ที่มักจะเติบโตเร็วกว่า และมีราคาถูก เมื่อเทียบกับหุ้นในประเทศพัฒนาแล้วอีกด้วย
จากที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่า ถึงแม้การลงทุนในหุ้นต่างประเทศ จะมีความเสี่ยงที่ค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับการลงทุนหุ้นในประเทศ แต่การลงทุนหุ้นในประเทศเพียงอย่างเดียว ก็กลับกลายเป็นการเพิ่มความเสี่ยง ให้กับพอร์ตการลงทุนของเราได้ ในเวลาเดียวกัน
เพราะฉะนั้นแล้ว การยอมเสียเวลามากขึ้น เพื่อคัดเลือกหุ้นต่างประเทศที่น่าสนใจสักตัว มาช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับพอร์ตการลงทุน ร่วมกับหุ้นในประเทศที่เรารู้จักดีอยู่แล้ว ก็อาจจะเป็นทางเลือกที่ดี และคุ้มค่ากับเวลาที่เสียไปก็เป็นได้..
โฆษณา