29 ก.ย. 2022 เวลา 03:45 • หุ้น & เศรษฐกิจ
ดร.กอบศักดิ์ เตือน ระวังการสร้างหนี้ในยุคดอกเบี้ยขาขึ้น ชี้!! เงินเฟ้อพุ่ง ทำให้ 'ยุคดอกเบี้ยต่ำเตี้ยติดดิน' จบลง
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ และประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Kobsak Pootrakool’ ระบุว่า
ยุคดอกเบี้ยขาขึ้น !!!!
ยุคที่เราต้องระวังเรื่องการใช้จ่าย กำลังเริ่มแล้ว
เงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา กำลังทำให้ “ยุคดอกเบี้ยต่ำเตี้ยติดดิน” จบลง
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะการสู้สงครามกับเงินเฟ้อของธนาคารกลางต่าง ๆ ทั่วโลก
ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายแต่ละประเทศ ต้องปรับขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง
โดยในเวลาไม่ถึงปี
- สหรัฐ ขึ้นดอกเบี้ย 5 ครั้ง รวม +3.0%
- สหภาพยุโรป ขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้ง รวม +1.25%
- อังกฤษ ขึ้นดอกเบี้ย 7 ครั้ง รวม +2.15%
- ออสเตรเลีย 5 ครั้ง รวม +2.25%
- ฟิลิปปินส์ 5 ครั้ง รวม +2.25%
- มาเลเซีย 3 ครั้ง รวม +0.75%
- อินโดนีเซีย 2 ครั้ง รวม +0.75%
- ไทย 2 ครั้ง รวม +0.5%
เมื่อธนาคารกลางขยับ ดอกเบี้ยในตลาดพันธบัตรต่าง ๆ ก็จะขยับตามเป็นขบวนแรก
ทั้งดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล และดอกเบี้ยหุ้นกู้ของเอกชน
บางครั้ง ขึ้นก่อนธนาคารกลางปรับขึ้นดอกเบี้ยด้วยซ้ำไป
ส่วนดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์ก็เช่นกัน ต่างปรับตัวเพิ่มขึ้น
ตามสัญญาณจากธนาคารกลาง เป็นขบวนถัดมา
ในสหรัฐ JPMorgan Chase Bank แบงก์ที่ใหญ่ที่สุด ได้ปรับ Prime Lending Rate ขึ้น 5 ครั้ง
จาก 3.25% เป็น 6.25% ขึ้นมา +3.0% ตามจังหวะที่เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย อย่างสอดประสาน
แบงก์อื่น ๆ เช่น Bank of America หรือ Well Fargo Bank ก็ปรับขึ้น 5 ครั้ง ในจังหวะและอัตราเดียวกัน
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ ปกติแล้วธนาคารพาณิชย์จะคอยดูสัญญาณจากธนาคารกลางว่า
ต้องการให้ดอกเบี้ยในประเทศปรับเปลี่ยนไปในทิศทางไหน
และจะดำเนินการตามที่ธนาคารกลางส่งทิศทางมา
ทั้งนี้ เนื่องจากแบงก์พาณิชย์แต่ละแบงก์ เป็นแค่ส่วนเดียวของเศรษฐกิจ
คงยากที่จะฝืนทิศทางของธนาคารกลางได้
เพราะสัญญาณและนโยบายจากธนาคารกลาง
จะกระทบไปทุกส่วนของตลาดการเงิน
โดยเฉพาะตลาดพันธบัตรที่จะเป็นตลาดแรกที่ปรับทันที
ส่วนธนาคารพาณิชย์ อาจจะใช้เวลา อาจจะรอได้บ้าง ในช่วงสั้น ๆ
แต่เมื่อธนาคารกลางปรับดอกเบี้ยไปต่อเนื่องในทิศทางใดทิศทางหนึ่งอย่างต่อเนื่อง
ทำให้ดอกเบี้ยในระบบ เริ่มเคลื่อนไหวไปในทิศทางนั้น
ธนาคารพาณิชย์ก็จะต้องปรับตาม ในท้ายที่สุดเช่นกัน
ซึ่งการปรับดอกเบี้ยตามดังกล่าว จะช่วยให้นโยบายของธนาคารกลาง
สามารถส่งผ่านไปยังภาคธุรกิจ ในทิศทางที่ธนาคารกลางต้องการ
สำหรับประเทศไทย
หลังแบงก์ชาติปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายมา 2 ครั้ง +0.5% และคงปรับขึ้นไปต่ออีกระยะ
การปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์กำลังเริ่มขึ้นเช่นกัน
ส่งผลต่อดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ในประเภทต่าง ๆ
ซึ่งจะช่วยในกระบวนการดูแลเงินเฟ้อของแบงก์ชาติ
ดอกเบี้ยเงินกู้ที่เพิ่มขึ้น จะจูงใจให้คนลงทุน และกู้ยืมน้อยลง
ดอกเบี้ยเงินฝากที่เพิ่มขึ้น จะจูงใจให้คนฝากเงิน ใช้จ่ายน้อยลงเช่นกัน
ทำให้เศรษฐกิจโดยรวมใช้จ่ายลดลง ลดแรงกดดันต่อเงินเฟ้อ
โดยกระบวนการนี้ จะเริ่มชะลอและหยุดลง
ก็ต่อเมื่อแบงก์ชาติซึ่งเป็นผู้กำหนดทิศทางดอกเบี้ย จบรอบของการขึ้นดอกเบี้ย
หมายความว่า “ยุคดอกเบี้ยขาขึ้น” ในไทย
ยังจะเดินหน้าไปอีกระยะ
ส่งผลกระทบต่อดอกเบี้ยเงินกู้แบบต่างๆ ให้เพิ่มขึ้น
สินเชื่อบ้านแบบคงที่ 2-3 ปี ดอกต่ำ ๆ ก็แทบหาไม่ได้ในขณะนี้ ต่างจากช่วงก่อนหน้า
ซึ่งเราทุกคนคงต้องระวังเรื่องการสร้างหนี้ ในยุคดอกเบี้ยขาขึ้น นี้
ยิ่งเศรษฐกิจโลกกำลังอ่อนลง
บริษัทต่าง ๆ คงต้องคิดเรื่อง สภาพคล่อง ดูแลกระแสเงินสด ฐานะการเงินให้ดี
อะไรไม่จำเป็นก็คงต้องผลักออกไปก่อน
เพื่อให้เราสามารถผ่านช่วงเวลาที่ท้าทายในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าไปได้
ส่วนผู้ฝากเงิน ที่ต้องรับกับดอกเบี้ยเงินฝากต่ำ ๆ มานาน
ต่อไปก็จะได้ดอกเบี้ยเงินฝากที่สูงขึ้นต่อไป
อย่างไรก็ตาม เท่าที่ลองดู เนื่องจากแบงก์ชาติไทยคงปรับขึ้นดอกเบี้ยน้อยกว่าประเทศอื่นๆ
และปรับแบบค่อยเป็นค่อยไป
จากเงินเฟ้อพื้นฐานของเรายังไม่สูงมากนัก
จากเศรษฐกิจเราที่ฟื้นตัวช้ากว่าเขา
และจากครัวเรือนส่วนหนึ่งเปราะบาง มีหนี้มาก
ทั้งนี้ การที่แบงก์ชาติไทยจะขึ้นดอกเบี้ยน้อยกว่าประเทศอื่นๆ
ขึ้นไปที่ 1.25%-2.0% แล้วดูสถานการณ์โลกว่าเป็นอย่างไร
กระทบกับไทยมากน้อยแค่ไหน
เรื่องนี้จะทำให้ดอกเบี้ยประเภทต่างๆ ในไทย
ปรับขึ้นในอัตราที่น้อยกว่าประเทศอื่นๆ เช่นกัน
ซึ่งช่วงนี้ ถ้าจะว่าไปแล้ว การขึ้นดอกเบี้ยไปไม่มาก น่าจะดีกว่า ครับ :)
โฆษณา