1 ต.ค. 2022 เวลา 15:46 • สุขภาพ
ข่าวดี !! ไทยพัฒนายาพ่นจมูกเพื่อดักจับและยับยั้งไวรัสโคโรนาไม่ให้เกาะเยื่อบุจมูก ไม่ใช่วัคซีนชนิดพ่นจมูก
1 ตุลาคม 2565 นอกจากจะเป็นวันที่ประเทศไทยได้ประกาศให้ โควิด-19 พ้นจากการเป็นโรคติดต่ออันตราย มาเป็นโรคติดต่อที่เฝ้าระวัง รวมทั้งยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และยุบ ศบค.แล้ว
ยังมีข่าวดีเพิ่มเติมคือ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส) ได้ร่วมมือกับภาคีเครือข่ายรวม 5 หน่วยงานด้วยกัน
ทำการวิจัยพัฒนายาพ่นจมูก ที่ดักจับและยับยั้งไม่ให้ไวรัสก่อโรคโควิดได้สำเร็จ
เป็นการผลิตโดยองค์การเภสัชกรรม และได้ขึ้นทะเบียนกับ อย. แล้ว ใช้ชื่อว่า Vaill CoviTRAP AntiCoV Nasal Spray
โดยหลักการสำคัญคือ ยาพ่นจมูก (Nasal spray) ดังกล่าว จะออกฤทธิ์สองลักษณะคือ
1) เคลือบบริเวณพื้นผิวเยื่อบุจมูกด้วย HPMC ทำให้ไวรัสเกาะได้ยากขึ้น เกาะได้น้อยลง ทำให้ติดเชื้อได้น้อยลง
1
2) ความสามารถในการยับยั้งทางกายภาพ
ผลรวมจึงเป็นการดักจับและยับยั้งไม่ให้ไวรัสโคโรนาก่อโรคโควิดเกาะที่เซลล์เยื่อบุจมูกของมนุษย์ได้
1
โดยการใช้ จะพ่นจมูกข้างละ 1-2 สเปรย์ วันละ 3 ครั้ง
ส่วนความร่วมมือของภาคีเครือข่ายประกอบด้วย
1
1) คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
2) มหาวิทยาลัยศิลปากร
3) สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข
4) องค์การเภสัชกรรม
5) บริษัทไฮไบโอไซจำกัด
ทั้งนี้ความแตกต่างที่สำคัญของยาพ่นจมูกนี้ กับยาพ่นจมูกของอินเดียซึ่งเป็นการพ่นวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันแทนการฉีดเข้ากล้ามเนื้อและแตกต่างกับยาสูดดมทางปากของจีน ซึ่งก็เป็นวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันเช่นกัน
1
คือ ยาพ่นจมูกของไทยที่เป็นข่าวในวันนี้นั้น ไม่ใช่วัคซีน จึงไม่ทำให้ร่างกายสร้างระดับภูมิคุ้มกันที่จะขึ้นสูงสำหรับป้องกันโรค
หากแต่เป็นการป้องกันทางด้านกายภาพ ไม่ให้ไวรัสเกาะเยื่อบุจมูกได้
เอาไว้ใช้แทนหน้ากากอนามัยในกรณีที่จำเป็นต้องถอดหน้ากากออกในสถานที่เสี่ยงหรือกิจกรรมเสี่ยง เช่น การรับประทานอาหารร่วมกัน
1
เมื่อเปรียบเทียบกับการใส่หน้ากากอนามัยที่มีคุณภาพและอย่างถูกวิธีแล้ว คงจะต้องทำการศึกษาเปรียบเทียบว่า การใส่หน้ากากอนามัยกับการไม่ใส่หน้ากากอนามัยแต่พ่นจมูก วิธีการใดจะทำให้ติดโควิดได้น้อยกว่ากัน
1
โฆษณา