4 ต.ค. 2022 เวลา 00:02 • หนังสือ
เราทุกคนล้วนเจอทั้งเรื่องดีและร้ายสลับกันไป แต่เรากลับมีมุมมองต่อเรื่องที่เกิดขึ้นต่างกัน และส่วนใหญ่เรามักโฟกัสกับสิ่งที่ผิดพลาดในชีวิตมากกว่าสิ่งดี ๆ ในชีวิต
บางคนทำงานได้ดีมาตลอดทั้งวัน มาพลาดตอนท้ายก่อนจะเลิกงานนิดหน่อย ก็อาจพาลคิดว่าตัวเองห่วย ไร้ความสามารถ และลืมสิ่งดี ๆ ที่ทำมาตลอดวันไปจนหมดสิ้น ซึ่งลึก ๆ แล้วหลายคนรู้ว่าวิธีคิดแบบนี้ควรได้รับการแก้ไข แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนดี
ผมไปอ่านเจอเรื่องราวที่ช่วยปรับวิธีคิดแบบนี้มาโดยบังเอิญ จากหนังสือ Creative Blindness เลยอยากนำมาแบ่งปันกันครับ บางทีมันอาจช่วยให้คุณสะท้อนคิดอะไรได้ด้วยเช่นกัน
ปี 1910 Violet Jessop หญิงสาววัย 24 ปี สมัครเข้าทำงานในเรือใหญ่ชื่อโอลิมปิก ซึ่งเป็นหนึ่งในเรือระดับ Big Three แห่งมหาสมุทรในช่วงเวลานั้น แต่โอลิมปิกกลับถูกเรือลาดตระเวนของกองทัพชนจนท้องเรือเสียหาย และเกือบจมก่อนถึงฝั่งตั้งแต่เที่ยวแรกที่เธอโดยสาร
ปี 1912 เธอได้โอกาสทำงานบนเรือหรูอีกลำ แต่เรือก็ชนกับภูเขาน้ำแข็งจนอับปางกลางมหาสมุทรตั้งแต่เที่ยวแรกเหมือนกัน มีคนเสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าวถึง 1,517 คน แต่เธอก็รอดชีวิตมาได้อีกครั้งเพราะขึ้นเรือชูชีพทันเวลา เรือลำนี้ชื่อว่าไททานิกครับ
ปี 1916 เธอได้โอกาสที่ 3 กับงานพยาบาลบนเรือบริแทนนิก แต่ช่วงนั้นดันเกิดสงครามขึ้นพอดี เรือจึงพลาดไปชนเข้ากับทุ่นระเบิดจมลงทันที เธอได้รับบาดเจ็บจนกระโหลกร้าว แต่ก็รอดมาได้อีกครั้ง
Dave Trott ผู้เขียนให้แง่คิดเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวไว้ได้ดีครับ เขาบอกว่าคุณจะมองว่า Jessop เป็นผู้หญิงที่โชคร้ายที่สุดเลยก็ได้ เพราะเธอเผชิญกับเรือล่มถึง 3 ครั้ง จนได้ฉายาว่า Queen of Sinking Ships หรือราชินีเรือล่ม หรือคุณจะมองว่าเธอโชคดีที่สุดก็ได้ เพราะเธอรอดตายได้ทุกครั้ง
จริง ๆ ผมว่าผู้เขียนพูดถึงมุมมองสำหรับเรื่องนี้เอาไว้ได้ดีแล้วล่ะครับ แต่หากจะสรุปเป็นข้อคิด ผมว่าคงจะเป็นการตั้งคำถามว่า “คุณโชคร้ายที่ไม่เจอเรื่องดี ๆ หรือโชคดีที่ผ่านเรื่องเลวร้ายมาได้?” ครับ
คำถามนี้เป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้คุณเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นได้ เพราะเป็นไปไม่ได้ที่ชีวิตจะไม่เจอเรื่องเลวร้ายเลย ดังนั้นสิ่งสำคัญคือการอยู่กับมันให้ได้ต่างหาก
ตัวอย่างเช่น ผมเคยอยู่ในมหาวิทยาลัยที่รุ่นพี่คลั่งรับน้อง SOTUS มากจนตัวผมเองถึงกับคางแตก แรก ๆ ก็ช็อกพอสมควรเพราะไม่คิดว่าจะเจอกับตัวเอง แต่สุดท้ายผมก็ตัดสินใจไม่ยุ่งเกี่ยวกับระบบเหล่านี้ และไม่เคยทำร้ายรุ่นน้องเช่นเดียวกับที่เคยโดน แต่แทนที่ผมจะจมอยู่กับความโชคร้ายที่ต้องมาเจอความบ้าคลั่งแบบนี้ ผมกลับภูมิใจและพูดได้เต็มปากว่าผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความรุนแรงเหล่านั้น และผ่านมันมาได้
แน่นอนครับว่าความเลวร้ายของแต่ละคนอาจหนักเบาไม่เท่ากัน คนที่มีต้นทุนดีอาจเจ็บน้อยกว่าคนที่ไม่มีต้นทุนเลย แต่หากคุณใส่มุมมองความโชคร้ายไว้กับตัว คุณอาจมองว่าชีวิตคุณแย่ยิ่งกว่าคนที่ไม่มีต้นทุนเลยก็ได้ครับ
เพราะฉะนั้นหากคุณกำลังคิดว่าชีวิตตัวเองแย่ และคุณเป็นคนโชคร้ายที่สุดในโลก ผมอยากชวนมาตั้งคำถาม มาคิด ตกผลึกกันดูดี ๆ ว่า “คุณโชคร้ายที่ไม่เจอแต่เรื่องดี หรือโชคดีที่ผ่านเรื่องเลวร้ายมาได้” กันแน่ครับ
#ฉันได้สิ่งนี้จากหนังสือเล่มนั้น #CreativeBlindness #ภาวะสมองบอด
คุณโชคร้ายที่ไม่เจอเรื่องดี ๆ หรือโชคดีที่ผ่านเรื่องเลวร้ายมาได้ ข้อคิดที่ได้จากหนังสือ Creative Blindness
โฆษณา