24 ต.ค. 2022 เวลา 02:05 • ความคิดเห็น
ถ้าหากสมมุติว่าเราเป็นเศรษฐีเหมือนต้นพุทธกาล ได้มาฟังธรรม ต่อเบื้องพระพักตร์ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดปัญญา เห็นในสิ่งที่เราหลงใหล เป็นตัวที่พาเกิดพาตาย เป็นตัวที่นำพาอารมณ์โลภโกรธหลง เข้ามาสู้จิต มีความหลงใหล เบื่อหน่ายในทรัพย์สิน บ้านใหญ่ๆโต ลาภยศสรรเสริญ ที่จิตไปหลงไหล
กายวาจาใจที่เราใช้ เสาะแสวงหามีทรัพย์สมบัติเงินทอง ลาภยศ มันนำพากรรมมาสู่จิต นำพาให้ธาตุทั้งสี ให้เกิดมีสีที่เชือดเฉือน สีน้ำตาลสีใบตองแห้ง สีม่วง สีเทา สีดำ ที่เกิดขึ้นภายในแม่ทั้งสี่ ที่ดินฟ้าอากาศ สมมุติให้มีกายเป็นมนุษย์ แล้วเราก็เห็นกายที่เราอาศัย มีแต่สีต่างๆที่เป็นสีเวรกรรม ที่จะติดไปกับจิต จิตที่ออกจากสังขารนี้ไป มีสีเวรกรรมติดไป ทำให้ต้องไปอยู่ในสถานที่ ..ที่ไม่มีความสุข ต้องทุกข์ทรมาน
เราก็ต้องจัดการ..ทิ้งทรัพย์สมบัติ ที่มี เหวี่ยงให้เป็นทาน ..ใครอยากได้ ก็เอาไป ..เหมือนองค์พระกัสสปะ ที่มีทรัพย์สมบัติมากมาย ท่านก็ให้เป็นทานทั้งหมด สละไปทั้งหมด ไม่ยึดแล้ว ในสิ่งที่พาเกิดพาตายไม่สิ้นสุด แล้วก็เดินเข้าป่า..มีเสื้อผ้าชุดเดียว ไปชำระสะสาง จิต..กายมันจะตายที่ไหน ก็ชั่งมัน กายตายหนเดียวพอล่ะ ไม่ให้มีกายเกิดขึ้นอีกเลย นั่นเป็นเรื่องสมมุติ
แต่จิตเรายังไม่ปัญญาในธรรม ปัญญาที่จะสลัด หนีเวรกรรม เพื่อยุติการเกิด เกิดเมื่อไหร่..ก็ต้องทุกข์ ที่ต้องดูแลกายที่ไม่เที่ยง มีการใช้กายดิ้นรนไปตามอารมณ์ มีกายวาจาใจที่ไปสร้างกรรม ก็ได้แต่ศึกษาปฏิบัติธรรม ..เล็กๆน้อยๆ เพื่อให้เกิดปัญญา หนีกรรม เดินตามรอยองค์พระสิทธัตถะ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ..ก็ทำไปเรื่อยๆ..เพราะยังไม่เกิดปัญญา ..
..ก็ได้แต่สะสมบุญกุศลบารมี สร้างบุญสร้างทาน ..สละเล็กๆน้อยๆ ไป คงมีสักชาติหนึ่ง เกิดบุญมากมายที่หนุนนำ มีทรัพย์สินเงินทองมากมาย จิตเบื่อหน่ายในสิ่งที่มี ..เห็นสิ่งเหล่านี้ทำให้เกิด ..เกิดตัดสินทิ้งสิ่งเหล่านี้ ด้วยปัญญารู้จักกรรม แล้วหนีกรรม คงมีสักชาติหนึ่ง ไม่รู้ว่าชาติใหน เมื่อยังต้องเกิด ก็ขอให้เกิดมีกายที่พ่อแม่สงเคราะห์ให้มีอาการครบสามสิบสอง ให้ได้พบธรรมโลกุตระ เพื่อสร้างบุญกุศลบารมีไปทุกชาติ จนมีปัญญายุติการเกิด
1
โฆษณา