27 พ.ย. 2022 เวลา 00:07 • ไลฟ์สไตล์
#ชวนกันอ่าน #เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด
เจ็บปวดทุกครั้งแต่ต้องทนอยู่เรื่อยไป เพราะเรายังเป็นวัยรุ่นอยู่เสมอ 😍
วันนี้หยิบหนังสือเล่มที่ชอบมาก ๆ อ่านจบนานแล้วอยากให้วัยรุ่นทั้งหลาย (ไม่จำกัดอายุ) ได้อ่านกัน รินชอบงานเขียนของนักเขียนเกาหลี ไม่รู้ว่ามีใครรู้สึกเหมือนกันมั๊ยว่าทำไมเขาถึงเขียนได้ตรงกับประสบการณ์ที่เราได้พบเจอนักนะ เรียกว่าอ่านแล้ว “โดน” จริง ๆ
เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด เขียนโดยคุณคิมรันโด แปลเป็นภาษาไทยโดยคุณวิทิยา จันทร์พันธ์ ถึงแม้หนังสือเล่มนี้จะเขียนมานานมากแล้วตั้งแต่ปี 2010 แต่เนื้อหาและข้อคิดยังคงทันสมัยและนำมาปรับใช้กับชีวิตในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงเป็นหนังสือขายดี ติดอันดับ Bestseller ต่อเนื่องนานหลายปีได้ขนาดนี้
ปีที่แล้วรินต้องทำงานกับวัยรุ่น ก็เลยซื้อหนังสือเล่มนี้มาอ่านเพื่อจะหาคอนเทนต์ไปเขียนให้กับน้อง ๆ แต่อ่านไปอ่านมากลับได้พลังดี ๆ ได้ข้อคิด ได้มุมมองชีวิตที่สอนตัวเองหลายเรื่องตลอดทั้งเล่มเลย ให้รีวิวในโพสต์เดียวคงไม่หมด วันนี้ก็เลยมาชวนกันอ่านก่อนนะคะ
เปิดมาบทแรกก็สะดุดกับประโยคที่คุณคิมรันโดบอกว่า
...ถ้าคิดดูให้ดีจะพบว่า ความปรารถนาของพวกเราล้วนแต่เป็นเรื่องฉาบฉวย ไม่ว่าจะอยากประสบความสำเร็จเร็ว ๆ อยากได้งานดี ๆ ก่อนใคร... และไม่แน่ว่าตัวคุณซึ่งกำลังอ่านหนังสือเล่มนี้อยู่ ก็อาจหวั่นใจอยู่ลึก ๆ ว่า “อายุขนาดนี้แล้ว...แต่ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย”...
เจ็บปวดตั้งแต่บทแรก ! และอย่าลืมว่าประโยคนี้เขียนเมื่อปี 2010 นะ ปีนี้ 2022 อ่านแล้วยังเจ็บอยู่เลย 🥲
คุณคิมรันโดชวนให้เราคิดว่า “ชีวิตของเราอายุเท่าไหร่กันแน่” ด้วยการคำนวณหา "นาฬิกาชีวิต" หนึ่งวันในชีวิตของเรามี 24 ชั่วโมง เท่ากับ 1,440 นาที ถ้าอายุขัยโดยเฉลี่ยของคนเราอยู่ที่ 80 ปี จะมีค่าเท่ากับปีละ 18 นาที
ตอนที่เขียนหนังสือเล่มนี้นาฬิกาชีวิตของคุณคิมรันโดคือบ่ายสองโมง 24 นาที ในปีนั้นคุณคิมรันโดอายุ 48 ปี ใกล้เคียงกับนาฬิกาชีวิตของรินในปี 2022 นี้เลย
บนโต๊ะทำงานของคุณคิมรันโดจะมีนาฬิกาที่ไม่มีถ่านวางเอาไว้เรือนหนึ่งและทุกวันเกิดเขาจะหมุนเข็มนาฬิกาออกไปข้างหน้า 18 นาที ทุกครั้งที่มีความคิดผุดขึ้นมาว่า “ยังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ทั้งที่อายุเกือบ 50 แล้ว” แต่เมื่อมองนาฬิกาชีวิตบนโต๊ะจะพบว่าชีวิตยังเดินทางมาไม่ถึงบ่ายสองโมงครึ่งเลย เวลาชีวิตในหนึ่งวันยังเหลืออยู่อีกมากมาย
บทส่งท้ายของบทแรกเป็นอีกประโยคที่รินชอบมาก ๆ คุณคิมรันโดบอกว่า
ความรู้สึกที่ว่า “ทุกอย่างมันสายไปแล้ว!” ไม่ได้เกิดจาก “ความจริง” แต่เป็นผลมาจาก “ภาพลวงตา” ที่เราสร้างขึ้นเอง ดังนั้นจึงไม่ควรหาข้ออ้างเพื่อล้มเลิกความตั้งใจ ตอนนี้ไม่มีอะไรที่สายเกินไปแม้จะเป็นเศษเวลาเล็กน้อย แต่ก็สามารถเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างได้เสมอ...
สำหรับรินบทแรกของหนังสือเล่มนี้สอนให้เห็นมุมมองอีกมุมหนึ่งของชีวิต เพราะแม้อายุจะมากขึ้นแต่ในวันที่ชีวิตยังไม่มั่นคง หรือเป็นช่วงเวลาที่จิตใจเปราะบาง บางทีคำพูดธรรมดาอย่างคำว่า “อายุก็ตั้งขนาดนี้ละ” ไม่ว่าจะเป็นเสียงที่เราพูดกับตัวเองหรือคนอื่นพูดกับเรา อาจเป็นคำแสลงพอที่จะทำให้ใจซึมเซาไปได้หลายวันเลยเหมือนกัน
บางครั้งก็เกิดคำถามกับตัวเองว่า “อายุขนาดนี้แล้วมันต้องทำอะไรได้ขนาดไหนหรอ?” แต่พอลองมองชีวิตในมุมนี้ดูบ้างก็รู้สึกดีกับตัวเองขึ้นมาเลยจริง ๆ นะ
ปีนี้นาฬิกาชีวิตของรินคือบ่ายโมง 48 นาที เป็นเวลาที่คุณคิมรันโดบอกว่า “เป็นยามบ่ายที่ต้องเริ่มทำงานอีกครั้งหลังจากพักกลางวัน”
แล้วปีนี้นาฬิกาชีวิตของเพื่อน ๆ คือเวลาไหนกันบ้างคะ? แต่ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาใด “ในชีวิตหนึ่ง ไม่มีช่วงอายุใดที่เร็วเกินไป หรือสายเกินแก้”
ขอเป็นหนึ่งกำลังใจให้กับทุกช่วงชีวิตนะคะ
ขอบคุณที่ติดตาม #angrindiary ค่ะ 😊
#Springbooks
โฆษณา