27 พ.ย. 2022 เวลา 14:15 • ไลฟ์สไตล์
มุ่งสู่ดอยขุนตาล (ขุนตาน) ตอนที่2
ไปต่อไม่รอแล้วนะ ….หลังจากหาอาหารเช้าง่ายๆ รับประทาน ก็ออกเดินทาง จะจากลาเมืองกำแพงเพชร ก็ห่วงหาอาวรณ์ เมืองชากังราว เป็นเมืองเก่าตั้งแต่ครั้งสมัยทวาราวดีนั่นเทียว ละแวกเขตแดนนี้มีเมืองชากังราว นครชุม ไตรตรึงษ์ เทพนคร และคณฑี และเป็นเมืองหน้าด่านของกรุงสุโขทัย ด้วยที่เป็นเมืองหน้าด่าน จึงต้องรับศึกสงครามอยู่เสมอ จึงมีจุดยุทธศาสตร์มากมายเช่นกำแพงเมือง คูเมือง ป้อมปราการ วัดโบราณ มากมาย
กล่าวกันว่ามีสองเมืองอยู่คนละฝั่งน้ำปิง คือนครชุมนั้นสร้างก่อนอยู่ฝั่งตะวันตก และอีกฝั่งเป็นชากังราว อยู่ฝั่งตะวันออก
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงบันทึกเรื่อง กำแพงเมืองไว้ว่า " เป็นกำแพงเมืองที่เก่าแก่ มั่นคง ยังมีความสมบูรณ์มาก และเชื่อว่าสวยงามที่สุดในประเทศไทย
หลายปีก่อน เคยตามรอยประวัติศาสตร์เมืองชากังราว เราปักหมุดอยู่ที่นี่เลยหลายวัน เดินไปตามกำแพงอิฐเก่า เข้าไปในวัดเก่า วัดร้าง สนุกกับร่องรอยประวัติศาสตร์ ทั้งที่ไม่ได้เป็นนักประวัติศาสตร์
พุทธศักราช 2511 กรมศิลปากรได้สำรวจโบราณสถานบริเวณเมืองเก่ากำแพงเพชร เมืองนครชุม และได้ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 85 ตอนที่ 41 วันที่ 7 พฤษภาคม พุทธศักราช 2511 โดยมีเนื้อที่โบราณสถานทั้งหมด 2,391 ไร่ จัดแบ่งกลุ่มโบราณสถานออกเป็น 10 บริเวณ ดังนี้
บริเวณที่ 1 โบราณสถานนอกกำแพงเมืองด้านทิศเหนือหรือเขตอรัญญิก เนื้อที่ 1,611 ไร่
บริเวณที่ 2 โบราณสถานเขตอรัญญิกบริเวณวัดอาวาสน้อย เนื้อที่ 220 ไร่
บริเวณที่ 3 กลุ่มโบราณสถานภายในเขตกำแพงเมือง เนื้อที่ 503 ไร่
บริเวณที่ 4 โบราณสถานฝั่งนครชุมบริเวณวัดเจดีย์กลางทุ่ง เนื้อที่ 12 ไร่ 2 งาน
บริเวณที่ 5 โบราณสถานฝั่งนครชุมบริเวณวัดหนองลังกา เนื้อที่ 9 ไร่ 1 งาน
บริเวณที่ 6 โบราณสถานฝั่งนครชุมบริเวณวัดหนองพิกุล เนื้อที่ 7 ไร่
บริเวณที่ 7 โบราณสถานฝั่งนครชุมบริเวณวัดซุ้มกอ เนื้อที่ 4 ไร่ 2 งาน
บริเวณที่ 8 โบราณสถานนอกกำแพงเมืองกำแพงเพชรด้านทิศตะวันออกบริเวณวัดกะโลทัย เนื้อที่ 8 ไร่ 2 งาน
บริเวณที่ 9 โบราณสถานนอกกำแพงเมืองกำแพงเพชรด้านทิศตะวันออกบริเวณวัดตะแบกลายเนื้อที่ 8 ไร่ 2 งาน
บริเวณที่ 10 โบราณสถานนอกกำแพงเมืองกำแพงเพชรด้านทิศเหนือบริเวณวัดดงหวายและวัดช้าง เนื้อที่ 14 ไร่
หากจะตามรอยประวัติศาสตร์กันจริงๆแล้วก็ ใช้เวลาหลายวันทีเดียว คราวนั้น สนุกและเต็มอิ่มนัก แต่คราวนี้ไม่ใช่ เพราะเป้าหมายของเรานั้นคือ ทุ่งดอกบัวตองตะหาก อย่ากระนั้นเลย เราออกเดินทางกันเถอะ
แต่ฝั่งนครชุมที่เราพักอยู่นั้น หากไม่ได้แวะกราบพระคู่บ้านคู่เมืองก่อนเดินทาง ก็จะไม่สมบูรณ์ จึงแวะกราบขอพรพระที่วัดพระบรมธาตุนครชุม เจดีย์ทองรูปทรงสวยงาม คล้ายเจดีย์ชเวดากอง ของพม่า มีอายุกว่า 600ปี บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ จำนวน 9องค์ พญาลิไท ทรงประดิษฐานไว้เมื่อ พศ. 1900 รอบด้านยังมีสิ่งปลูกสร้างแบบเดิม สถาปัตยกรรมสวยงาม ให้เราได้ชม เรากราบขอพร ขอบารมีคุ้มครอง ยามเช้าอากาศดี เงียบสงัด มีเพียงเสียงกวาดใบไม้ของพระสงฆ์ บางรูป ความสงบเกิดแก่จิตใจแล้ว
สมควรแก่เวลา เดินทางออกจากแดนประวัติศาสตร์มุ่ง ขึ้นเหนือต่อ จะแวะพักที่ อุทยานแห่งชาติดอยขุนตาล กันอีกสักคืนเถอะ
เราเดินทางโดยใช้ถนนหมายเลข1 ขึ้นไปจนเกือบถึงลำปาง แยกออกใช้เส้นทางหมายเลข 11 ผ่าน อ.ห้างฉัตร ก่อนถึง อ.แม่ทา แยกขึ้น อุทยานแห่งชาติดอยขุนตาล อีก 28 กม.เส้นทางตอนขึ้นเขาดูไม่เรียบหรู บางตอนหน้าถนนผุพัง ถนนเล็กกว่าที่ผ่านมาเมื่อแยกจากถนนหลักขึ้นสู่ขุนเขา เราเคยแต่ขึ้นรถไฟลอดอุโมงค์ ผ่านไปมาแต่ไม่เคย ได้มาเยือนอุทยานฯเลย จนมาครานี้แหละ ได้มาเยือน ได้ทำการจองห้องพักกับทางอุทยานฯไว้ล่วงหน้า แล้ว ราคา 350บาท ต่อคืน ทำการจองผ่านเวปไซด์ ของทางการ สะดวกดีและสามารถระบุหมายเลขห้องได้
จากการสอบถามเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ก่อนทำการจองเขาแนะนำว่า ห้อง 204 นั้นเป็นห้องที่มีโถส้วมนั่งสะดวก ห้องน้ำมีน้ำอุ่นจากแก๊ส ตกลงจองห้องนี้แหละ ชื่อห้อง สกาวจันทร์ ชื่อหวานจริง วันธรรมดา ห้องพักว่าง ส่วนใหญ่จะเต็มวันหยุด และวันหยุดยาวต่อเนื่อง
เมื่อขับรถขึ้นมายังที่ทำการอุทยานฯ นั้นก็ราวบ่ายสองโมง ได้รับประทานอาหารกลางวันก่อนขึ้นไป หนทางขึ้นที่พักนั้นออกลาดชัน และที่จอดรถนั้นกระชั้นมากเป็นโค้งหักศอก นำรถเข้าเวลาจะออกต้องถอยออก หรือกลับรถในที่แคบ นับว่าไม่ค่อยสะดวกสำหรับรถใหญ่ หากแต่ขึ้นไปอีกก็จะเป็นห้องพักขนาดใหญ่ขึ้น เหมาะสำหรับหมู่คณะ
วันนี้ไม่เห็นมีคนมาพักสักเท่าไรเลย สักสองสามหลังเท่านั้นกระมัง รู้สึกวังเวงนะเออ แต่ก็นี่แหละที่เรียกว่า วิเวก ห้องพักเป็นเรือนไม้ยกพื้น มีระเบียงสองด้าน ด้านประตูและด้านข้างวางถังแก๊สต่อท่อเข้าห้องอาบน้ำด้านใน เจ้าหน้าที่แจ้งว่าเปิดแก๊สให้แล้ว เจ้าหน้าที่หญิงอัธยาศัยดี ได้คุยกันสักพัก ก็กลับลงไป เราเดินสำรวจแวดล้อม มีไม้ดอก ไม้ประดับเช่นฤาษีผสม ปลูกรอบๆ เป็นระเบียบ สวยงาม
ทางเดินขึ้นยอดเขาอยู่ถัดขึ้นไปอีกหน่อย เราลองเดินขึ้นไปได้หน่อย มีเห็ดสีแดง ขึ้นตามขอนไม้ เอ๊ะ เขาเรียกว่าเห็ดหลินจือใช่หรือไม่นะ เฟิร์นข้าหลวงเกาะอยู่ตามต้นไม้ ดอกไม้ป่าหลายชนิด ออกดอกเล็กๆ ตามทาง เราไม่ได้เดินขึ้นไปถึงด้านบนหรอก ด้วยสังขารไม่ให้ (ฮาๆ) จึงพากันขับรถวนขึ้นไปด้านบน ถึงร้านอาหารของอุทยานฯ
สั่งอาหารกล่องกลับลงมาเป็นอาหารเย็นวันนี้
เย็นลง ยังไม่ทันหกโมงเย็นเลย ความมืดเริ่มคืบคลานเข้ามา อากาศเริ่มเย็น เสียงนกร้องจ้อกแจ้ก ต่างบินกลับรัง เสียงนกกลางคืน จิ้งหรีดเรไร เริ่มเปล่งเสียง แล้วป่าก็ห่มเราด้วยผ้าห่มทึบดำ ใต้ดวงดาวระยิบหากแต่แมกไม้นั้นกันแสงดาวเสียมืดมิด เราไม่ได้เยี่ยงกรายออกมานอกห้องเพื่อชมความงามยามค่ำคืนเยี่ยงนั้นหรอก เพราะมีเพียงตายายสองคนในป่าทึบเท่านั้น หากออกไปนั่งทอดหุ่ย ซึมซับบรรยากาศ อาจจับไข้ และถูกยุงกัดทั้งตัวนั่นปะไร
อาจด้วยอุทยานดอยขุนตาลนี้ เปิดบริการมานานแล้วก็ได้ บ้านพักไม้หลังนี้ จึงมีช่อง มีรอยตามขอบประตู ขอบรอยต่อของไม้ จึงมีแมลงหลุดเข้ามาในห้องบ้าง เราหาผ้าอุดช่องกันแมลง และเปิดพัดลมให้ลมหมุนเวียน ที่นอนนั้นดูสะอาด แต่เก่าและมีกลิ่นเค็มๆ ไม่แน่ใจว่าใครทำน้ำปลาหกไว้ก่อนหน้ารึเปล่า แต่ก็ไม่เป็นไรมากน่ะ พอนอนได้ คิดซะว่า เดี๋ยวมันก็ผ่านไปน่ะ
ยิ่งดึก อากาศยิ่งเย็น อ้อ ที่นี่เขาไม่มีเครื่องปรับอากาศนะ มีแต่พัดลม ซึ่งจริงๆแล้วก็ไม่จำเป็นต้องใช้หรอก เพราะอากาศเย็นสบายตลอดปี ยิ่งคืนนี้ฝนตกตั้งแต่หัวค่ำ ทำให้อากาศยิ่งเย็นลงอีก ยามเที่ยงคืนกว่า จู่ๆ ไฟก็ดับ ความที่การเดินทางครั้งนี้ ไม่ได้มีการนำเต๊นท์ไปกาง เราจึงไม่พกไฟฉาย หรือแม้แต่ไม้ขีด เทียนไข เมื่อไฟดับก็ใช้ไฟจากโทรศัพท์มือถือ ดูเวลา ด้วยความสงสัยว่าทำไมไฟดับ ทางอุทยานฯปิดไฟรึ ? เพราะก่อนขึ้นมาเจ้าหน้าที่บอกว่าไฟติดทั้งคืน
เราจึงโทรถามเจ้าหน้าที่ โชคดีที่มีคนรับสาย เขาบอกว่า ไฟดับทั่วบริเวณ อาจเป็นเพราะฝนตก เรารออยู่สักพักใหญ่ ไฟก็ติด เราหลับไฟในสายฝนพรำยามดึกสงัด กับเสียงแมลงกลางคืนขับกล่อม และกลิ่นเค็มๆ ของน้ำปลาหกข้างเตียง อืม..คืนนี้ช่างเป็นคืนที่ แสนจะ อะไรดีนะ เฮอ…
ตื่นเช้า หกโมงเช้า ฟ้าเริ่มสว่าง สายหมอกลอยเป็นทาง ทำให้รอบบ้านเหมือนอยู่ในสรวงสวรรค์ เราเดินเก็บบรรยากาศยามเช้าที่สดชื่น ความเงียบสงบยามเช้า มันดีกว่ายามค่ำมืด ยิ่งนัก มันไม่เหงา และซึมเซา หากใครเป็นโรคซึมเศร้า แนะนำอย่าไปเที่ยวป่า ไม่โอ(เค) หรอก
อันว่าวนอุทยานแห่งชาติดอยขุนตาลนี้มีพื้นที่ครอบคลุมอยู่ในพื้นที่อำเภอแม่ทา จังหวัดลำพูน และอำเภอห้างฉัตร อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง สภาพพื้นที่เป็นป่าอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิด เป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร ซึ่งเป็นบรรยากาศที่เงียบสงบ และอุโมงค์ขุนตานซึ่งเป็นอุโมงค์รถไฟที่ยาวที่สุดในประเทศไทย(แต่เดี๋ยวนี้มีที่อื่นยาวกว่าแล้วนะ เขาว่ากัน แต่ยังไม่ได้หาข้อมูล) สร้างโดยชาวเยอรมัน มีเนื้อที่ประมาณ 255ตารางกิโลเมตร
เมื่อเรามายืนตรงหน้าที่ทำการอุทยาน จะมีเส้นแบ่งเขตแดนสองอำเภออยู่ด้วย ไปยืนถ่ายรูปเท่ห์ๆ ดีนะ
ประมาณแปดโมงเช้ากว่าๆ เราลงมาที่สถานีรถไฟขุนตาน ใกล้กันมีอุโมงค์รถไฟมีความยาวถึง 1.3 กม. เราถ่ายรูปเป็นที่ระลึก หลายครั้งสมัยก่อน เคยเดินทางทางรถไฟแล้วลอดอุโมงค์นี้ ออกจะตื่นเต้นในเวลานั้น อยากลงมายืนหน้าอุโมงค์ แต่ก็ได้แต่คิดแหละ มาคราวนี้ขอลงมาสัมผัสสถานีดอยขุนตาน สักทีเหอะน่า อ้าว พอดีรถไฟมา เสียงปู๊น ๆ ดังมาจากในอุโมงค์ เรารอรับขบวนรถไฟอยู่ด้านนอก
เมื่อรถไฟมาจอดที่ชานชาลา เราโบกมือทักทายผู้คนในโบกี้ ซึ่งออกจะโหรงเหรงบางตา อาจเพราะยุคสมัยเปลี่ยนไป ผู้คนหันไปใช้บริการเครื่องบิน หรือรถยนต์โดยสารซึ่งเร็วกว่า และราคาไม่ต่างกันมากกระมัง เราเห็นคนบนรถไฟบางคนถ่ายภาพสถานีขณะรถจอด อืม เขาคงเป็นนักท่องเที่ยวแหละ ที่อยากจะ อิน กับบรรยากาศการนั่งรถไฟอะไรประมาณนั้น
เราจัดการรับประทานอาหารตามสั่งแบบง่ายๆ ที่ร้านหน้าสถานีรถไฟแล้วจากลา อุทยานดอยขุนตาล เพื่อมุ่งสู่ดอยแม่อูคอต่อไป…
โฆษณา