29 พ.ย. 2022 เวลา 02:57 • ความคิดเห็น
ไม่มี passion ทำยังไงดี
เป็นคำถามยอดฮิตที่ผมได้รับเวลาไปบรรยายที่งานสัมมนาต่างๆ หรือแม้แต่มีคน inbox มาถามอยู่เนืองๆ ซึ่งเป็นคำถามที่ผมตอบได้ยากมากเพราะผมเองก็ไม่ค่อยมี passion อะไรกับเขานัก
1
ตั้งแต่เด็กๆก็ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรอยากทำอะไร ก็ไหลๆเรื่อยๆมาตามสถานการณ์และโอกาส จนตอนนี้เอาจริงๆก็ไม่รู้ว่าตัวเองชอบทำอะไรชัดๆ ไม่ได้มีของสะสม ไม่ได้มีงานอดิเรกที่หลงใหลอย่างหัวปักหัวปำอะไรเลย
1
ต่อคำถามที่ว่าจะทำยังไงให้มี passion ถึงจะมีแรงทำงาน มีแรงผลักดันตัวเองได้ ผมเลยมักจะตอบขำๆไปว่ามีคำแนะนำอยู่สองประการถ้าอยากจะมีแรงผลักดันในการทำอะไรให้สำเร็จอาจจะไม่ต้องใช้ passion ก็ได้นะ คำแนะนำอย่างแรกก็คือการหา deadline ให้ตัวเองเพราะเส้นตายคือแรงบันดาลใจเสมอ พี่ตุ้ม หนุ่มเมืองจันท์เคยกล่าวไว้
1
การหาเส้นตายนั้นมีหลายแนว ผมเขียนหนังสือเล่มแรกได้ก็ด้วยการเขียนไปหนึ่งหน้าแล้วแจกคนในห้องประชุมอ่านพร้อมกับประกาศตัวว่าอีกสามเดือนผมจะเขียนให้เสร็จ ก็เป็นแรงกดดันที่ดีที่ต้องเขียนให้ได้ตามที่ประกาศ ไม่งั้นก็ขายขี้หน้าแย่
1
ใครอยากลองเปลี่ยนเส้นตายเป็นแรงบันดาลใจก็อาจจะลองวิธีนี้เช่นประกาศใน FB ว่าถ้าลดน้ำหนัก 10 โลไม่ได้ภายในสามเดือนจะโกนหัวพร้อมคิ้วให้ทุกคนดู ผมเชื่อว่าเราก็จะพยายามลดน้ำหนักได้โดยไม่ต้องใช้ passion อะไรมากนัก
1
ส่วนประการที่สอง ผมก็มักจะแนะนำตลกๆว่า ให้ลองไปเป็นหนี้ดู เพราะผมเห็นคนเป็นหนี้เป็นสินอยู่นั้นไม่เคยถามหา passion เลย ไม่มีหยุดเสาร์อาทิตย์ด้วยซ้ำ เพราะเขาบอกว่าวันหยุดนั้นดอกเบี้ยไม่ได้หยุดตาม ก็เป็นวิธีตอบคำถามเลี่ยงๆเวลามีคนมาถามเรื่อง passion ไป
1
แต่เอาเข้าจริงๆแล้ว จากตัวอย่างตลกๆที่ผมยกมานั้น ผมกลับคิดว่าหัวใจในการที่จะมีแรงบันดาลใจในการทำอะไรใหม่ๆ ไม่ย่อท้อ ไม่ยกเลิกนั้นอาจจะมีหลายวิธี แน่นอนว่าการมี passion มีสิ่งที่ตัวเองหลงใหลก็เป็นทางหลักที่หลายคนเดินแล้วบอกว่าดี แต่ถ้าเราหา passion ไม่เจอ คำถามคือว่ามันมีทางอื่นให้เลือกเดิน มีพลังอื่นให้ขับเคลื่อนแรงบันดาลใจได้หรือไม่
จากตัวอย่างที่ผมเคยเขียนทั้งเรื่องลูกสาวผมที่เริ่มทำอะไรได้ดีขึ้นหลังจากมีความมั่นใจมากขึ้นจากการได้รับคำชมและเรื่องของคุณกระทิง พูนผล ผู้เป็นเด็กที่ไม่มีความมั่นใจอะไรเลย จนครูประถมมาชมในเรื่องเล็กๆทำให้เกิดแรงฮึดที่จะพูดออกเสียงภาษาไทยให้ชัดและได้ไปประกวดการอ่านออกเสียง แล้วค่อยๆเริ่มมั่นใจในการทำอะไรใหม่ๆจนพาไปถึงเรื่องการเรียนและการทำงาน ผมเลยคิดว่าการตามหา “ความมั่นใจ” (confidence) อาจจะเป็นอีกทางหนึ่งของการหาแรงผลักดันตัวเอง
พอคิดถึงเรื่องนี้ก็เลยเห็นว่าผมเองก็เดินมาเส้นทางนี้เช่นกัน ตั้งแต่เด็กๆที่ไม่มีความมั่นใจอะไรเลย ค่อยๆเริ่มจากการไปจับพลัดจับผลูทำงานประหลาดอย่างเป็นสจ๊วร์ตที่อเมริกา เริ่มได้ทำดีลเล็กๆกับพี่ๆที่บริษัทหลักทรัพย์เอกธำรง
ได้ลองทำงาน investor relation ได้ทำงานปรับโครงสร้างหนี้ของดีแทค เหล่านี้ค่อยๆสร้างความมั่นใจให้กับตัวทีละเล็กละน้อย ทำให้เรากล้าทำอะไรใหม่ๆเพิ่มเติม ความมั่นใจในตัวเองในการลองอะไรใหม่ๆอาจจะพาหลายคนไปเจอ passion ก็ได้ หรืออาจจะเป็นแบบผมที่ทำให้กล้าลองอะไรไปเรื่อยๆแบบไม่มี passion ก็ได้เช่นกัน
1
แล้วเราจะสร้าง “ ความมั่นใจ “ ในตัวเองที่จะกล้าลองอะไรใหม่ๆ เชื่อว่าตัวเองพอทำอะไรได้ และกล้าตัดสินใจในบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาได้ทางไหนบ้าง ผมไปอ่านเจอ article ของ verywellmind ที่น่าจะเป็นประโยชน์กับคนที่สนใจที่จะสร้างความเชื่อมั่นในตัวเอง และอยากจะสรุปประเด็นบางส่วนตามที่เขาแนะนำไว้ดังนี้
ต้องหยุดเทียบเรากับคนอื่น
1
โลกแห่งโซเชียลมีเดียทำให้เราเห็นชีวิตของคนอื่นมากขึ้นมาก แถมยังเป็นภาพลวงตาในด้านดีของคนที่เราเห็นอีกด้วย ทำให้เราอดเทียบการใช้ชีวิตของเพื่อน อดเทียบสถานะการเงินและสังคมกับคนที่รู้จักไม่ได้ ซึ่งการเปรียบเทียบนั้นมีงานวิจัยหลายชิ้นบอกเลยว่า ความอิจฉาริษยานั้นมีผลในทางลบโดยตรงกับความรู้สึกเชื่อมั่นต่อตัวเองอย่างมาก
การหยุดเทียบเรากับคนอื่นนั้นพูดง่ายทำยากมากในโลกแห่ง facebook หรือ IG แต่เทคนิคที่บทความแนะนำก็คือการที่เราต้องพยายามช่วยคนที่ด้อยกว่าบ้าง ซึ่งทำให้นอกจากเราจะรู้สึกมีคุณค่าแล้วก็จะทำให้มีคู่เทียบในอีกด้านหนึ่งด้วย การสร้างความรู้สึกที่ขอบคุณในสิ่งที่เรามี การไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ไม่ได้เป็นหนี้ล้นพ้นตัว มีครอบครัวที่ดีก็เป็นความคิดที่ช่วยสู้อีกทางหนึ่ง รวมถึงการหลีกเลี่ยงคนที่ทำให้เรารู้สึกอิจฉาริษยา และการหากัลยาณมิตรที่ดี ก็มีส่วนช่วยเช่นกัน
ต้องรู้จักดูแลตัวเอง
มันจะยากมากๆเลยที่เราจะรู้สึกดีกับตัวเองถ้าเราไม่ดูแลตัวเองดีๆ การที่เราดูแลตัวเองทั้งร่างกายและจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นการกินอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนเพียงพอ นั่งสมาธิ ออกกำลังกาย ฯลฯ นั้นเป็นจุดเริ่มที่สำคัญที่สุดของการสร้างความเชื่อมั่นให้ตัวเอง ถ้าเรารู้สึกแข็งแรง สุขภาพดีแล้ว ความสดใส อารมณ์ที่ดีจะพามาซึ่งความเชื่อมั่นเล็กๆในการเริ่มต้นวันอย่างแน่นอน
1
เรื่องนี้เป็นประสบการณ์โดยตรงของผมมากๆ ในตอนที่ผมอ้วนเกือบร้อยโลนั้น ความมั่นใจในตัวเองแทบไม่เหลือเลย ตื่นมาไม่สดชื่น เหนื่อยง่าย อารมณ์หงุดหงิดบ่อย ยิ่งป่วยบ่อยๆใจยิ่งซึมเศร้า ทำงานอะไรก็รู้สึกไม่ดี ไม่พูดถึงแค่แต่งตัวออกจากบ้านก็ไม่มั่นใจแล้ว ผมนึกถึงคำขวัญภาษาลาตินที่ติดบนป้ายโรงเรียนเก่าที่มีข้อความแปลว่า จิตใจที่ดีจะอยู่ในร่างกายที่แข็งแรงเท่านั้น ซึ่งเป็นความจริงพื้นฐานมากๆในเรื่องความมั่นใจในตัวเอง
1
ต้องฝึกการมี growth mindset : ในบทความใช้คำว่าฝึกให้มี self compassion ก็คือการที่ไม่โทษตัวเองเวลาทำอะไรผิดพลาด ล้มเหลว หรือทำอะไรโง่ๆ แต่หัดที่จะมองว่าความผิดเป็นบทเรียน หาประโยชน์ที่จะเรียนรู้จากความผิดพลาดนั้น การฝึกความคิดว่าล้มเหลวบ้างก็ได้เรียนรู้นั้นย่อมทำให้เรามั่นใจที่จะทำอะไรมากกว่า เรานี่ช่างแย่จริง ทำอะไรก็ผิดไปหมดมาก แต่เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องที่ต้องมีการฝึกฝนและเป็นเรื่องที่ฝึกฝนกันได้เช่นกัน
2
ยอมรับกับความรู้สึก self doubt ว่าเป็นเรื่องปกติ : หลายครั้งเรามักจะมีความรู้สึกปฏิเสธไปก่อน คิดเองเออเองไปเลยเช่นอยากชวนสาวไปเดทแต่ไม่มั่นใจ เลยไม่กล้าชวนและเสียโอกาสไป แต่ทางที่ดีที่สุดในการสร้างความมั่นใจในเรื่องแบบนี้นั้นก็คือการลองทำอะไรที่ในใจตัวเองคิดว่าทำไม่ได้ดู
การลองฝึกทำอะไรที่เอาชนะความกลัวในใจที่เกิดจากความไม่เชื่อมั่นด้วยการพยายามบอกตัวเองว่าอย่างน้อยก็ได้ลอง จะได้ไม่ “รู้งี้” แล้วผลออกมาเป็นอย่างไรก็จะได้รู้ ความรู้สึกเครียด กังวล กลุ้มอกกลุ้มใจในครั้งแรกนั้น พอลองบ่อยเข้า ความรู้สึกนั้นก็จะค่อยๆหายไป แต่แน่นอนว่าการลองอะไรหลายๆอย่างนั้น การเตรียมตัวอย่างดีก็ช่วยทำให้มั่นใจขึ้นด้วย เช่นการซ้อมพูดก่อนขึ้นเวที หรือการซ้อมวิ่งก่อนไปแข่งมินิมาราธอน แต่ไม่ต้องรอให้มั่นใจ 100% ถึงทำ เพราะเราก็จะพลาดอะไรไปพอสมควร
1
ตัวอย่างในชีวิตของผมในเรื่องนี้ที่ผมนึกได้เป็นเรื่องต้นๆในใจ ก็คือการลองพยายามวิ่งมินิมาราธอนเป็นครั้งแรกจากคนอ้วนที่ไม่เคยออกกำลังเลย วิ่งไม่กี่ร้อยเมตรก็เหนื่อยแล้ว แต่ในตอนนั้นผมตัดสินใจชวนผู้บริหารดีแทคมาวิ่งกันโดยกำหนดระยะเวลากันสามเดือนในการซ้อม (ผมเคยเขียนไว้ในบทความเรื่อง impossible race ) จากคนที่ไม่เคยคิดว่าจะวิ่งได้เลย
1
แต่พอลองกัน ซ้อมกันดู ลองประกาศแล้วลองทำก่อนแบบไม่มีความมั่นใจเลยว่าจะทำได้ แล้วหาพวกที่ไม่มั่นใจด้วยกันค่อยๆซ้อมไปแล้วไม่กล้าเลิกเพราะไปประกาศซะใหญ่โต พอวิ่งได้จริงๆแล้วความรู้สึกที่เหมือน วอลท์ ดิสนีย์ เคยพูดไว้ว่า “ It’s kind of fun to do the impossible” นั้นจริงมากๆ ด้วยความมั่นใจที่รู้สึกว่าได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าทำได้ ทำให้ผมอยากไปลองอะไรใหม่ๆอีกหลายอย่างที่ไม่เคยทำตั้งแต่วิ่งได้วันนั้นเป็นต้นมา
ผมเลยคิดเอาว่า คนที่หา passion ไม่เจอนั้น อีกเส้นทางหนึ่งที่น่าเดินคือการสร้างความมั่นใจให้กับตัวเองในการกล้าลองอะไรใหม่ๆ ออกจาก comfort zone ที่มี นอกจากอาจจะเป็นคำตอบให้เจอ passion ที่ตามหาแล้ว ต่อให้ไม่เจอ passion แต่ความเชื่อมั่นในตัวเองก็จะออกฤทธิ์ในการสร้างความอยากที่จะทำโน่นทำนี่ มีแรงบันดาลใจที่จะทำอะไรใหม่ๆไม่แพ้ passion อยู่เหมือนกันนะครับ
โฆษณา