8 ธ.ค. 2022 เวลา 07:29

ฐานะใดได้ชื่อว่าเป็น อริยะ

ในทางธรรมเราอาจจะเคยได้ยินคำว่าอริยะ เช่น อริยบุคคล อริยสาวก พระอริยสาวก พระอริยบุคคล และอาจทราบว่าอย่างไรถึงได้ชื่อว่าเป็นอริยะ บทความนี้จะมาพูดถึงเบื้องต้นของความเป็นอริยะ โดยจะเว้นท่ามกลางและเบื้องปลายไว้เหตุเพราะเชื่อมั่นว่าหากรับรู้สภาวะของอริยะเบื้องต้นได้ ต่อไปภายหน้าจะสามารถรับรู้ถึงฐานะอริยะต่อไปได้ไม่ยาก ดังนั้นเรามาดูว่า ความเป็นอริยะทางธรรมเริ่มจากฐานะใด
เบื้องต้นเมื่อเราเริ่มเข้ามาสู่ธรรมนี้ ด้วยการศึกษาพระธรรมคำสอนไปโดยลำดับ โดยเริ่มจากฟังธรรมนี้เนืองๆ จำติดปาก จำขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฏฐิ และที่สุดเราได้ชื่อว่าเป็นฐานะของผู้ที่รู้ธรรมโดยถ้วนรอบแล้ว คือ รู้ในอริยสัจ4 โดยถ้วนรอบแล้ว หรือเป็นบุคคลผู้รู้เหตุเกิด รู้เหตุดับ รู้คุณ รู้โทษ รู้อุบายเครื่องออกจากผัสสายตนะทั้ง6ตามความเป็นจริงแล้ว
แต่ถึงแม้เราจะทราบชัด รู้ชัดดังนี้แล้ว ก็ยังไม่ถึงฐานะอริยะในทางธรรม เนื่องจากฐานะที่รู้ในอริยสัจ4 โดยถ้วนรอบ คือรู้ในธรรมฝ่ายเกิดทุกข์ รู้ในธรรมฝ่ายดับทุกข์โดยถ้วนรอบ ยังอยู่ในฐานะของโสดาปัตติมรรค
เมื่อรู้ธรรมโดยถ้วนรอบหรือรู้จนสิ้นแล้ว เมื่อรู้ธรรมจนรอบก็ย่อมทราบว่าจะดับทุกข์ด้วยการกระทำฌานอย่างไร เมื่อทำฌานเป็นแล้วละกามละอกุศลธรรมได้ และที่สุดเมื่อละสังโยชน์ทั้ง3 คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสได้แล้ว เมื่อละสังโยชน์ทั้ง 3 ได้ จึงเข้าสู่ฐานะโสดาปัตติผลหรือโสดาบัน
ฐานะโสดาบันเป็นฐานะอริยะเบื้องต้นในธรรมวินัยนี้ โดยอ้างอิงจากพระสูตรที่ชื่อว่าโกสัมพิยสูตร ข้อ540 เป็นต้นไป พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่12
โดยในพระสูตรองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้แสดงญาณ7 ของพระโสดาบันเอาไว้ จะขออธิบายสรุปในญาณ 7 ของพระโสดาบันดังนี้
ญาณข้อที่1 คือ ฐานะโสดาบันเห็นปริยุฏฐานกิเลสกลุ้มรุมอยู่ฐานะโสดาบันต้องละ เมื่อเห็นปริยุฏฐานกิเลสกลุ้มรุมอยู่ฐานะโสดาบันก็ต้องละ เพราะฐานะโสดาบันเป็นระดับที่เว้นจากวีติกกมกิเลสมาแล้ว มาอยู่ปริยุฏฐานกิเลส แต่ฐานะโสดาบันยังไม่สิ้นเกลี้ยงในอาสวะ
เมื่อเราละปริยุฏฐานกิเลสได้แล้วมาถึงญาณข้อที่2 คือ เมื่อเราละความเห็นผิดต่างๆมาสู่ความเห็นถูกนี้แล้ว ตามทิฏฐินี้แล้ว เราย่อมเป็นผู้ระงับกิเลสนั้นๆได้เฉพาะตน เรารู้เลยว่าเรามีความสุขจากการระงับกิเลสนั้นๆ นี้เป็นญาณที่2
ญาณที่3 ฐานะโสดาบันรู้ชัดเลยว่า สมณะหรือพราหมณ์เหล่าอื่นนั้นไม่มีความรู้เช่นเดียวกันนี้ ให้เห็นดังนี้เลย มีในธรรมวินัยนี้เท่านั้น จึงมีอริยมรรคมีองค์8 จึงมีโพธิปักขิยธรรม จึงมีสมณะที่1ที่2ที่3ที่4 ดังที่เรารู้มาแล้ว มีเท่านี้ นอกธรรมวินัยนี้ไม่มี ฐานะโสดาบันรู้ชัด
ญาณข้อที่4 ฐานะโสดาบันเป็นผู้ที่อาจจะต้องทำผิด หรือมีการกระทำผิด เมื่อทำผิดแล้วฐานะโสดาบันจะต้องงดเว้นการทำผิดนั้น ถึงความสำรวมระวัง เหมือนเพื่อนสพรหมจารีที่เป็นอริยะเช่นเดียวกัน นี่ญาณข้อที่4
ญาณข้อที่5 ธรรมดาหมู่ชาวพุทธนี้ จะต้องเข้าหากันด้วยกายกัมมัง เมตตัง วจีกัมมัง เมตตัง มโนกัมมัง เมตตัง ลาภา ธัมมิกา คือ เกื้อกูลกัน มีสีลสามัญญตา มีทิฏฐิสามัญตาร่วมกันอยู่ บุคคลผู้เป็นอริยวินัยนี้จะช่วยกัน
เมื่อช่วยกันแล้วช่วยคนอื่น แต่ไม่ใช่ไปช่วยคนอื่นแล้วลืมตัวเอง แม้จะช่วงคนอื่นอยู่ตัวฐานะโสดาบันก็จะต้องเป็นผู้ที่ประกอบไปด้วย อธิศีลสิขา อธิจิตสิขา อธิปัญญาสิขา นี่คือญาณข้อที่5
พอถึงญาณข้อที่6 เราจะต้องเป็นผู้ที่ พาหุสัจจะ คือเรียนรู้ให้มากๆขึ้น ถ้าเมื่อใดที่ได้ฟังธรรมที่ตถาคตประกาศแล้ว โดยบัณฑิตแสดงอยู่ ฐานะโสดาบันต้องรีบรวบรวมธรรมนั้นๆ เงื่อโสตลงฟังตั้งใจฟัง เป็นผู้ที่ฟังเนืองๆ จำติดปาก จำขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฏฐิในธรรมนั้น คนอื่นทำบุคคลผู้ที่ได้ชื่อว่าโสดาบันก็ต้องทำ ไม่มีให้ขาดตกบรกพร่อง นี่เป็นญาณที่6
พอมาถึงญาณที่7 สุดท้าย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเห็นว่าเมื่อธรรมที่พระตถาคตประกาศแล้ว อันบัณฑิตแสดงอยู่ ผู้รู้แสดงอยู่ ฐานะโสดาบันนั้นได้รู้ในอรรถ รู้ในธรรมนั้นด้วย รู้ในอรรถรู้ในความหมาย และรู้ในธรรมปฏิบัติในธรรมนั้น จนได้ปราโมทย์จากการปฏิบัติธรรมนั้น ปฏิบัติจนถึงผล คนอื่นทำได้เช่นนี้ แม้บุคคลผู้ที่ได้ชื่อว่าโสดาบันก็ทำได้เช่นนี้
นี่คือ ญาณ7 ของพระโสดาบัน ที่บุคคลถึงฐานะโสดาบันมี
แล้วเราจะทราบได้อย่างไรว่าความเป็นอริยะเริ่มที่ความเป็นโสดาบัน
ตอบดังนี้ ให้เราดูที่ท้ายของการจบในแต่ละญาณ เช่นญาณที่1 ที่ข้อ543 จะมีคำว่า นี้ญาณที่1 เป็นอริยะ เป็นโลกุตระ ไม่ทั่วไปกับพวกปุถุชน อันภิกษุนั้นบรรลุแล้ว
และพระสูตรข้อ550 องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาอันอริยสาวกผู้ประกอบด้วยองค์ 7 ประการอย่างนี้ ตรวจดูดีแล้ว ด้วยการทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ประกอบด้วยองค์7 ประการนี้แล ย่อมเป็นผู้เพรียบพร้อมด้วยโสดาปัตติผล ฉะนี้แล
1
ที่จริงพระสูตรอธิบายไว้ชัดว่าความเป็นอริยะที่เป็นโลกุตระ เริ่มที่โสดาบัน
แต่หากถามว่าแล้วความเป็นโสดาปัตติมรรค
ยังไม่ถือว่าเป็นอริยะที่เป็นโลกุตระใช่หรือไม่
ตอบ ใช่ โดยความเป็นโสดาปัตติมรรคเป็นฐานะปุถุชน ที่ปรารถนาความสิ้นทุกข์ออกจากวัฏสงสาร
โดยธรรมวินัยนี้ต้องศึกษาไปตามลำดับ กระทำไปตามลำดับ ปฏิบัติไปตามลำดับ เบื้องต้นจึงเข้ามาสู่ความเป็นโสดาปัตติมรรค เมื่อรู้ธรรมโดยถ้วนรอบแล้วจึงปฏิบัติเพื่อการละสังโยชน์3 คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส เมื่อละได้แล้วจึงละสังโยชน์ไปตามลำดับ
แต่ด้วยธรรมนี้เป็นอจินไตย ทั้งหมดล้วนแต่ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยประชุมพร้อมกัน จึงไม่สามารถบอกได้ว่าจะได้ความเป็นอริยะ หรือจะบรรลุความเป็นโสดาบันขณะใดเวลาใด แต่ที่บอกได้อย่างชัดเจนคือ หากบุคคลหนึ่งบุคคลใด ไม่เคยฟังธรรมนี้ที่ถูกต้องมาก่อนเนืองๆ ไม่จำติดปาก ไม่จำขึ้นใจ ไม่แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฏฐิในธรรมนี้มาก่อน แล้วปรารถนาจะบรรลุธรรม "ความปรารถนานั้นไม่ใช่ฐานะที่จะเป็นไปได้"
รวมถึงการลัดขั้นตอนด้วยวิธีที่คิดค้นขึ้นใดๆ ที่องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ประกาศ แสดง ปฏิบัติ บัญญัติ แล้วปรารถนาจะบรรลุธรรม "ความปรารถนานั้นไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้"
อ้างอิง โกสัมพิยสูตร ข้อ440 เป็นต้นไป พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่12
รายละเอียดเพิ่มเติมในธรรมส่วนอื่นๆ สามารถรับฟังได้ที่นี่
PODCAST 👇
แนวทางสู่โสดาบัน✔
โฆษณา