14 ธ.ค. 2022 เวลา 03:28 • หนังสือ
#160 CWG. 4️⃣ — บทส่งท้าย (ตอนที่ 1)
▪️ผู้แปล : แอดมิน
{🔸ซึ่งผมอาจนำคำแปลบางส่วน ของคุณซิม จากเพจ Books for Life มาใช้ด้วยครับ ก็ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ที่ทำให้งานแปลมันสมบูรณ์ขึ้นครับ 🙏 นี่เป็นงานแปลที่ผมตั้งใจแปลมาก ๆ หากมีข้อผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ทีนี้ด้วยครับ🔸}
Epilogue – บทส่งท้าย
My dear, dear companions on this journey . . .
สหายที่รักทั้งหลายผู้ร่วมอยู่ในการเดินทางครั้งนี้
This is not easy, is it?
นี่มันไม่ง่ายเลยใช่ไหม❓
I mean, this journey through life.
ผมหมายถึง การเดินทางที่ต้องดำเนินไปตลอดทั้งชีวิต
For most of us, this is not easy. It involves sadness and tragedy in way too many moments. Happiness, too, yes. And moments of great joy, for sure. But the heaviness of the heart, and the ache of its breaking over and over again, can take its toll—that’s undeniable. Even the optimist feels it some mornings upon arising and some evenings when the weight of events, and memories of events, is carried to bed.
สำหรับพวกเราส่วนใหญ่แล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย มันเกี่ยวข้องกับความเศร้าและโศกนาฏกรรมที่มากเกินไปในหลายห้วงขณะของชีวิต ความสุขก็ด้วย ใช่แล้ว แน่นอนว่าห้วงขณะแห่งความปิติยินดีเหล่านั้นคือสิ่งที่สำคัญยิ่งในชีวิต แต่ความหนักอึ้งของหัวใจและความเจ็บปวดจากการพังทลายครั้งแล้วครั้งเล่าคือค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่ายเพื่อแลกมาซึ่งห้วงขณะแห่งความสุขเหล่านั้น—นั่นคือสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง
แม้แต่คนที่มองโลกในแง่ดีก็ยังรู้สึกว่าในบางเช้าขณะที่กำลังตื่น และในบางเย็นเมื่อน้ำหนักของเหตุการณ์และความทรงจำของเหตุการณ์ต่างๆถูกนำพาเข้าสู่ห้วงนิทราด้วย
For fifty years I’ve kept telling myself: “There’s got to be a reason. There’s got to be a purpose. This has all got to be part of a Larger Process in which we're all engaged here. Life must be more than a series of random events to which we're all subjected, with the Final Bell ringing at a time or in a way that we least expect.”
เป็นเวลาห้าสิบปีแล้วที่ผมพร่ำบอกกับตัวเองอยู่เสมอว่า : “มันจะต้องมีเหตุผล หรือ จุดประสงค์อะไรสักอย่าง ทั้งหมดนี้ต้องเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการที่ยิ่งใหญ่กว่าที่ซึ่งพวกเราทุกคนต้องมามีส่วนร่วมกันที่นี่ บนโลกใบนี้ ชีวิตต้องเป็นมากกว่าชุดของเหตุการณ์สุ่มที่เราทุกคนต้องเผชิญ โดยเสียงระฆังยกสุดท้ายจะดังขึ้นในเวลาหรือในแบบที่เราคาดไม่ถึง”
The conversations with God that I’ve had since I slipped past my forty-ninth birthday (now twenty-four years ago) have convinced me this is true. And this latest dialogue—totally unexpected and packed with surprises—has confirmed everything for me.
การสนทนากับพระเจ้าทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับผม นับตั้งแต่ผมผ่านวันเกิดปีที่ 49 (จนถึงตอนนี้ก็ 24 ปีมาแล้ว) ทำให้ผมเชื่อว่านี่คือเรื่องจริง และการสนทนาครั้งล่าสุด—ที่คาดไม่ถึงและเต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าประหลาดใจ—นี้ สำหรับผมแล้วคือสิ่งยืนยันว่าทุกอย่างที่ผ่านมาคือเรื่องจริง
But please, listen to me as I wave goodbye: I could be wrong about all of this.
แต่ได้โปรด ช่วยฟังผมก่อนในขณะที่ผมกำลังโบกมือลา : ผมอาจคิดผิดเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดนี้ก็ได้
Don’t imagine for a second that I don’t think about that. I think about it all the time.
อย่าจินตนาการหรือคิดไปเองแม้แต่วินาทีเดียวว่าผมไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้น เพราะผมคิดเกี่ยวกับมันอยู่ตลอดเวลา
Several interviewers have asked me basically the same question. Do I have any doubts about the experience I’ve had, or the information I’ve received?
ผู้สัมภาษณ์หลายคนถามผมด้วยคำถามเดียวกันว่า : ผมมีข้อสงสัยเกี่ยวกับประสบการณ์หรือข้อมูลที่ผมได้รับหรือไม่❓
I’ve given them all the same answer:
ซึ่งผมได้ให้คำตอบเดียวกันกับพวกเขาทุกคนว่า :
“The day I stop doubting is the day I become dangerous, and I have no intention of becoming dangerous.”
“วันที่ผมหยุดสงสัยคือวันที่ผมกลายเป็นอันตราย และผมไม่มีความตั้งใจที่จะเป็นอันตราย”
(มีต่อ)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา