19 ม.ค. 2023 เวลา 02:22 • ข่าว

📌 สู้ศึกเลือกตั้ง ซื้อใจคนจน ด้วยบัตรคนจนใบใหญ่กว่าเดิม

รัฐบาลนี้ทิ้งทวนโค้งสุดท้ายด้วยการมีคนจนที่จะต้องรับ 'บัตรคนจน' เพิ่มเป็นเกือบ 20 ล้านคน หรือราวสองเท่าจาก 6-7 ปีก่อน แถมในช่วงใกล้เลือกตั้ง พรรคพลังประชารัฐยังขยายผลเอาไปโฆษณานโยบายว่า จะเพิ่มวงเงินในบัตรถึง 700 บาท
'บัตรคนจน' มีชื่ออย่างสุภาพคือ 'บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ' ถูกคำคลอดโดย คสช. หลังยึดอำนาจราวปีกว่า ปลายปี 2559 ก็มีนโยบายให้คนรายได้น้อยลงทะเบียนเพื่อรับเงินช่วยเหลือ 1,500 บาท และ 3,000 บาทแล้วแต่เลเวลความจน เรียกว่าทั้งปีให้เป็นก้อนก้อนเดียว ตอนนั้นมีคนลงทะเบียน 8 ล้านกว่าคน ใช้งบประมาณ 19,290 ล้านบาท
ในปีต่อมา 2560 'ทีมเศรษฐกิจ คสช.' นำโดยสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ จึงคิดค้นการช่วยเหลือ 'คนจน' เป็นรายเดือนผ่าน 'บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ' มีคนลงทะเบียน 11.67 ล้านคน ให้เงินเป็นรายเดือน วงเงิน 200 และ 300 บาทแล้วแต่เลเวลความจน เพื่อนำไปซื้อของกินของใช้จากร้าน 'ธงฟ้าประชารัฐ' รวมถึงลดค่าแก๊ซ ค่าเดินทางได้อีก
ในช่วงเวลาที่คณะรัฐประหารเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าสถานะของโครงการนี้คืออะไร ต่อมาปี 2561 มีการก่อตั้งพรรคพลังประชารัฐ ถัดมาปี 2562 ก่อนจะมีเลือกตั้ง รัฐบาล คสช.ออกกฎหมายเพื่อจัดตั้งกองทุนรับรองโครงการนี้โดยใช้ชื่อที่ละม้ายคล้ายชื่อพรรค นั่นคือ 'กองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม' กำหนดงบประมาณไว้ 46,000 ล้านบาท
โครงการนี้ดำเนินต่อเนื่องเรื่อยมา 'คนจน' เพิ่มจำนวนขึ้นเป็น 13.4 ล้านคนและกำลังจะแตะ 20 ล้านคนตามลำดับ
สำหรับงบประมาณนั้น ข้อมูลจากสำนักงบประมาณเผยให้เห็นวงเงินที่อนุมัติกันทุกปี ประกอบกับรายงานข่าวของสื่อมวลชนจะพบการแถมพ่วงด้วยการอนุมัติงบกลางเพิ่มเติมเป็นระยะ ดังนี้
◾ ปี 2561 วงเงินราว 59,000 ล้านบาท (เพิ่มงบกลางฉุกเฉิน 37,900 บาท)
◾ ปี 2562 วงเงินราว 40,000 ล้านบาท (เพิ่มงบกลางฉุกเฉิน 2 ครั้ง 47,900 ล้านบาท 10,000 ล้านบาท )
◾ ปี 2563 วงเงินราว 40,000 ล้านบาท
◾ ปี 2564 วงเงินราว 49,500 ล้านบาท (เพิ่มงบฉุกเฉิน 28,000 ล้านบาท )
◾ ปี 2565 วงเงินราว 30,000 ล้านบาท
◾ ปี 2566 มีวงเงินเพียง 35,500 กว่าล้านบาทเท่านั้น
📌ยิ่งจน ยิ่งแจก เพิ่มวงเงินบัตร เอางบจากไหน?
อันที่จริง แนวคิดเพิ่มวงเงินเป็น 700 บาท พล.อ.ประวิตร ไม่ใช่คนแรกที่ประกาศ ในยุครัฐบาลคสช. ปลัดกระทรวงการคลัง - สมชัย สัจจพงษ์ เคยโชว์ไอเดียนี้มาแล้ว รัฐบาลต้องออกมาแตะเบรคกันแทบไม่ทัน
หากคำนวณตามนโยบายที่พล.อ.ประวิตรประกาศวันก่อน สมมติว่ามีผู้ได้รับสิทธิ์ 18 ล้านคนก็จะต้องใช้งบประมาณเดือนละ 1.2 หมื่นล้านบาท หรือ ปีละ 1.5 แสนล้านบาท
เงินจำนวนนี้ในช่วงเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวจะเอามาจากไหน? นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ ได้ตอบคำถามนี้ของสื่อมวลชนว่า นอกเหนือจากการพึ่งพิงงบประมาณ ยังสามารถจัดตั้ง 'กองทุนเพื่อสังคม' เปิดการระดมทุนจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ​ แล้วตั้งคณะกรรมการมากำกับเพื่อดูแลว่า เม็ดเงินจะนำไปใช้ที่ไหน อย่างไร โดยดึงกลุ่มธุรกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) มาทำให้เกิดประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาความยากจนอย่างเป็นรูปธรรม รัฐบาลมีหน้าที่ออกแบบโครงสร้างพื้นฐานเพื่อจูงใจนักลงทุนให้มาซื้อกองทุน
“ยกตัวอย่าง หากเราตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร บริษัทที่จัดตั้งขึ้นมาจะสามารถเข้าไปดูแลเกษตรกรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และสิ่งที่ธุรกิจเพื่อสังคมต้องทำคือ เชื่อมเกษตรกรและภาคเอกชนเพื่อหาตลาดและสร้างรายได้กับเกษตรกร ซึ่งรายได้นี้ ต้องแบ่งสัดส่วนคืนมาที่ธุรกิจเพื่อสังคมด้วย และคืนผลตอบแทนกลับมาที่นักลงทุนที่เป็นเจ้าของเงินที่ซื้อหน่วยลงทุน” นฤมล กล่าว
นี่คือหนทางหาเงินให้ได้ 1.5 แสนล้านของพลังประชารัฐ
📌สตง.เคยประเมิน โครงการไม่คุ้มค่า
ในปี 2563 สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้เผยแพร่รายงานผลการตรวจสอบการดำเนินงานโครงการประชารัฐสวัสดิการ ในสมัยรัฐบาล คสช.ว่า
◾ การอบรมพัฒนาอาชีพ นอกจากทำไม่ได้ตามเป้าแล้วยังไม่บรรลุผลสําเร็จ "จากผลสำรวจพบว่ามีผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ไม่ได้นําความรู้จากการอบรมไปใช้ประโยชน์คิดเป็นร้อยละ 64.88"
◾ ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐสามารถใช้ประโยชน์สวัสดิการที่กําหนดบางรายการได้น้อยมาก เช่น การบรรเทาภาระค่าครองชีพให้แก่เกษตรกร คิดเป็น 4.46% มาตรการช่วยเหลือค่าเดินทางไปรับการรักษาพยาบาลสําหรับผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย คิดเป็น 3.61%
◾ การจําหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคของร้านธงฟ้าประชารัฐที่เข้าร่วมโครงการด้วยราคาที่ไม่ แตกต่างจากราคาท้องตลาด และอาจไม่สามารถควบคุมรายการที่จําเป็นต่อการครองชีพได้อย่างแท้จริง
◾ การติดตามและรายงานผลการดําเนินงานมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตร สวัสดิการแห่งรัฐไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กําหนด
เป็นต้น
📌 ประชานิยมแบบทหาร
อรรถสิทธิ์ พานแก้ว อาจารย์จากคณะรัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ เคยให้ความเห็นไว้ว่า
"ความแตกต่างระหว่างนโยบายที่ให้ประโยชน์กับประชาชนกับ “นโยบายประชานิยม” (populist policy) อยู่ที่ นโยบายอย่างแรกมีเป้าหมายหลักก็เพื่อต้องการแก้ไขปัญหาหรือพัฒนายกระดับคุณภาพชีวิตของประชากรของประเทศโดยคำนึงถึงความคุ้มค่าและผลกระทบเชิงลบอย่างรอบด้านให้อยู่ในระดับที่ไม่ส่งผลเสียต่อการบริหารราชการ วินัยทางการคลัง และงบประมาณโดยรวม ขณะที่นโยบายอย่างหลังในความสำคัญไปที่การเอาใจประชาชนและมุ่งหวังที่จะแปลเปลี่ยนความพึงพอใจดังกล่าวเป็นคะแนนนิยมในการเลือกตั้ง ...."
"เมื่อพิจารณาถึงนโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ของรัฐบาล คสช. แล้ว บางช่วงเวลาที่นโยบายนี้ออกมา (ตุลาคม 2561) ความรัดกุมในการนำไปปฏิบัติ จำนวนเม็ดเงินงบประมาณที่อัดฉีดเข้าไปในโครงการ รวมถึงท่าทีทางการเมืองของผู้นำรัฐบาล ก็มีความโน้มเอียงไปในทางนโยบายประชานิยม มากกว่านโยบายเพื่อประชาชน"
ด้านเดชรัตน์ สุขกำเนิด ผู้อำนวยการ Thkink Foward Center ให้ความเห็นว่า ควรทำให้ให้สวัสดิการเป็นสิทธิของประชาชนที่ชัดเจน และเป็นสิทธิแบบถ้วนหน้า โดยมีกฎหมายกำกับเฉพาะ มากกว่าจะขึ้นลงตามนโยบายของรัฐบาลหรือตามเทศกาลเลือกตั้ง
#VoiceOnline
โฆษณา