เพราะฉะนั้น ความคิดกับภาพนึกคิด ในหัวของเราจะต้องอยู่กันคนละมิติ โดยมีดวงตาขวัญเป็นตัวเชื่อมต่อ
ดวงตาขวัญ จึงมีการเคลื่อนย้ายไปมาระหว่างมิติปลายอุโมงค์สองด้านทุกวัน ด้วยความเร็วที่เร็วกว่าแสงมากมายมหาศาล ดั่งก้าวข้ามประตูช้าๆ แล้วหายวับ ไปโผล่ในที่โคตรไกล แต่ก็ยังรู้สึกเหมือนอยู่ในหัวของตัวเองอยู่ตลอดเวลา เพราะมีอุโมงค์ลมจิตใจเป็นตัวเชื่อมต่อ เราจึงไม่รู้สึกอะไรเลย
แต่เราก็มีข้อมูลของผู้ตายแล้วฟื้นกว่ายี่สิบเปอร์เซนต์ สามารถจับความเร็วมหาศาลของดวงตาขวัญได้ขณะตื่นนอน ก็คือ จับได้ขณะดวงตาขวัญกำลังเคลื่อนตัวออกจากดวงจิตมิติโลกคู่ขนาน เข้าสู่กายเนื้อมิติโลกปัจจุบัน
ส่วนจับได้ขณะนอนหลับ ก็คือ จับได้ขณะดวงตาขวัญกำลังเคลื่อนตัวออกจากกายเนื้อมิติโลกปัจจุบัน เข้าสู่ดวงจิตมิติโลกคู่ขนาน จะเป็นข้อมูลของนักวิปัสสนากรรมฐาน ที่สามารถจับความเร็วมหาศาลของดวงตาขวัญได้ ภายในเศษเสี้ยวของวินาทีก็ถึงจุดหมายปลายทางแล้ว
เริ่มแรกนักวิปัสสนาจะไปตั้งอยู่กับดวงตาขวัญฝั่งตรงข้ามภายในศีรษะของกายทิพย์ก่อน นักวิปัสสนาจึงเห็นแต่แสงสว่างที่สวยงามเย็นสบายตา กับความรู้สึกที่มีตัวตนแต่มองไม่เห็นตัวตน เห็นแต่แสงสว่างที่ออกจากดวงตาเท่านั้น
แล้วต่อมา ก็มาตั้งอยู่กับกายทิพย์ จึงเห็นรูปร่างกายของตนเองอยู่ภายในภาพเหตุการณ์ที่เหมือนจริงกับโลก
แล้วนักวิปัสสนาก็เรียกภาพต่างๆ ณ.จุดหมายปลายทางภายในดวงจิต มิติโลกคู่ขนานของตนเองว่า..ภาพนิมิต
ภาพนิมิตที่ละเอียดคมชัดเหมือนกับภาพความฝัน และเหมือนกันกับโลก ที่สัมผัสด้วยประสาททั้งห้าเดียวกัน แต่รูปร่างกายที่ใช้สัมผัสต่างกัน
ข้อมูลของนักวิปัสสนากับผู้ตายแล้วฟื้นนี่เอง ที่เป็นเหตุทำให้เชื่อได้ว่า มิติดวงตาขวัญคู่ขนานที่ตั้งอยู่ในหัวของกายเนื้อกับกายทิพย์ ก็คือสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า รูหนอนหลุมดำกับหลุมขาว
อุโมงค์รูหนอนหรืออุโมงค์ลมจิตใจในความหมายของพระพุทธเจ้า จึงเป็นอุโมงค์ลมที่หมุนรอบตัวเองด้วยความเร็วสิบห้าล้านสี่หมื่นกิโลเมตรต่อเศษเสี้ยวของวินาที เร็วกว่าความเร็วแสงมากมายมหาศาล
เมื่อเราจับความเร็วของดวงตาขวัญได้ เราจะมีสติจำได้หมายรู้ตลอดเวลา ตลอดเส้นทางจนถึงจุดหมาย และเดินทางกลับเข้าสู่ร่างกาย
แต่ถ้าเราจับไม่ได้ ชีวิตของเราจะเป็นดั่งเช่นภาพความฝันเมื่อยามนอนหลับ เราฝันเห็นพ่อแม่ ฝันว่าได้พูดคุยทำกิจกรรมกับพ่อแม่เป็นเวลานาน พอตื่นมามีสติรู้ พ่อกับแม่ตายไปแล้ว
แต่ในขณะที่เราอยู่ในภาพเหตุการณ์ความฝัน เราไม่มีสติรู้ ไม่มีความจำได้หมายรู้เลย ได้แต่รู้สึกนึกคิดคล้อยตามตัวภาพความฝันไปเท่านั้น
/
ปริศนาธรรมคิริมานนทสูตร
..... “นอนหลับนั้นแลนับว่าเป็นความสุข แต่เมื่อมาพิจารณาดูอย่างละเอียดแล้ว ซ้ำเป็นทุกข์ไปเสียอีก ถ้าผู้ใดพิจารณาเห็นตามดังคถาคตแสดงมานี้ เป็นนิมิตอันหนึ่ง ครั้นจดจำได้แน่นอนในตนแล้ว ก็เป็นเหตุให้ได้มรรคผลนิพพานในปัจจุบัน ไม่ต้องสงสัย”
/
ด้วยพระธรรมเทศนาบทนี้ ผมจึงทดสอบด้วยการนอนฟังคิริมานนทสูตรแบบวนไปวนมาตลอดทั้งคืนจนหลับ ประมาณสองสัปดาห์จึงได้ผล ฝันเห็นตัวเองเดินเข้าไปในตลาดที่เหมือนเหตุการณ์จริงทั้งภาพ แสง สี และเสียง ในขณะที่กำลังเดินดูตลาดก็รู้สึกได้ยินเสียงธรรมะที่รู้สึกคุ้นๆ จึงพยายามหันมองหาที่มาของเสียงธรรมะนั้น
จนรู้สึกว่าเสียงธรรมะที่ได้ยินนั้นมันมาจากฟากฟ้า จึงมองขึ้นไปบนฟ้าหาที่มาของเสียงจนรู้สึกตัวตื่นนอน
การทดสอบนี้จึงทำให้มั่นใจจริงอย่างที่พระพุทธเจ้าบอก เพราะผมฟังคิริมานนทสูตรจนจำได้ทั้งพระสูตร แต่ในขณะที่เราอยู่ในภาพความฝันเราไม่มีสติรู้ ไม่มีความจำได้หมายรู้เลย ได้แต่รู้สึกนึกคิดคล้อยตามไปกับตัวภาพเหตุการณ์เท่านั้น
เราจะทำอย่างไร เราจึงจะมีสติรู้ และมีความจำได้หมายรู้ตอนหลับฝัน
และหลังความตาย
ซึ่งต่างจากนักวิปัสสนากรรมฐาน ที่มีคลื่นสมองติดไปกับดวงตาขวัญด้วย จึงรู้สึกถึงการเคลื่อนตัว รู้ตัวตลอดว่ากำลังนั่งสมาธิอยู่ และอยู่ที่ไหน เมื่อถึงจุดหมายจึงเกิดสงสัย..กูอยู่ไหนวะเนี้ย
/
ปริศนาธรรมคิริมานนทสูตร
..... “เพราะจิตมีดวงเดียว เมื่อมีชีวิตอยู่ก็จิตดวงนี้ เมื่อตายไปแล้วก็จิตดวงนี้”
/
ดวงตาขวัญ เป็นดวงตาพลังงานจึงไม่มีหยุดหมุน แม้ร่างกายจะตายไป เพราะหาเจาะไข่ใหม่ได้
เหตุนี้ “เพราะจิตมีดวงเดียว” เมื่อมีชีวิตอยู่ก็เข้าๆออกๆจิตดวงนี้ทุกวัน เมื่อตายไปแล้วก็เข้าๆออกๆจิตดวงนี้ต่อไปอีกนานแสนนาน จนอาจชั่วกัปชั่วกัลป์ในวัฎจักรสงสารของมิติโลกคู่ขนาน
เพราะคำว่า “ไม่รู้” เพียงแค่คำเดียวเท่านั้น
/
ปริศนาธรรมคิริมานนทสูตร
..... “โลกเขาตั้งแต่งไว้อยู่ก่อนเรา เราจึงมาอาศัยอยู่กับด้วยลมจิตใจ ณ.กาลภายหลัง”
/
เพราะฉะนั้น คำว่า “เรา” ในความหมายของพระพุทธเจ้าก็คือ ดวงตาขวัญ หรือเราก็คือ ตัวเส้นทางสายกลาง ระหว่างมิติโลกคู่ขนาน นั้นเอง
โลกโลกียะ ก็คือโลกปัจจุบันที่เรากำลังเป็นอยู่ เป็นโลกที่มีระเบียบ มีระบบ และมีรูปแบบที่ตายตัว ดั่งละครน้ำเน่าซ้ำๆซากๆจากรุ่นสู่รุ่น
โลกโลกุตระ ก็คือโลกแห่งความฝัน เป็นโลกที่ไม่มีระเบียบ ไม่มีระบบ และปราศจากรูปแบบ อัดแน่นด้วยมวลพลังงานมืด ตลอดชีวิตของเราจึงมีภาพความฝันที่ไม่ซ้ำ อาจมีบ้างที่รู้สึกเหมือนฝันซ้ำ แต่ถ้าสังเกตรายละเอียดของภาพ ไม่มีซ้ำ
เราจึงสามารถสร้างสรรค์โลกโลกุตระให้เป็นนรก หรือสวรรค์ หรือพระนิพพานก็ได้ ตามต้องการ
เพราะโลกแห่งความฝันและจินตนาการ ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้
เมื่อตื่นนอน ดวงตาขวัญจะตกอยู่ใต้อำนาจของสมอง สมองจึงเป็นผู้กำหนดภาพนึกคิด ฝั่งตรงข้าม
แต่เมื่อนอนหลับ ดวงตาขวัญหลุดพ้นเป็นอิสระจากสมอง แต่ก็ตกอยู่ใต้อำนาจดวงจิตของตัวเอง
ดวงจิตมิติโลกคู่ขนาน จึงสร้างภาพความฝันด้วยตัวเองภายในตัวตนของตนเอง เพื่อสื่อสารกับดวงตาขวัญที่อยู่ภายใน ให้ดวงตาขวัญฝั่งฟากโน้นได้เห็น
เอาไปซื้อหวย
เพราะฉะนั้น ผู้ที่ตายแล้วฟื้นเขาจะต้องเคลื่อนตัวออกมาจากดวงจิตของตนเอง เพราะก่อนที่เขาจะฟื้นจากความตาย เขาเห็นตัวเองอยู่ภายในภาพเหตุการณ์เวลาเดียวกันกับโลก เขาจึงรีบเร่งเจาะทะลุทะลวงมิติ พุ่งประสาททั้งห้าออกมาด้วยความเร็วกว่าแสงมากมายมหาศาล เพื่อ
เล่าให้หมอฟัง
/
“ขวัญเอ๋ยขวัญมา ขวัญมาอยู่กับเนื้อกับตัว”
เพราะเรามา ไข่ฟองเล็กๆจึงมีชีวิต มีความฝัน จึงเติบใหญ่ขึ้นมาด้วยความหวัง สักวันฝันของฉันจะเป็นจริง
เพราะเราไม่มา ร่างกายนี้ก็เป็นเพียงของเปล่า เน่าเปื่อยพุพังไป ไม่มีอะไรเป็นของเราสักสิ่งสักอัน แม้กระทั้งความคิดและสติจำได้หมายรู้ของสมองก็สูญหายไปหมดสิ้น
ชีวิตเราก็เหลือเพียงแค่ ความรู้สึกรับรู้แดจาวู
กับภาพความฝันของดวงจิต มิติโลกคู่ขนาน
แค่นั้นเอง
เพราะคำว่า “เรา” คือสิ่งที่ไม่ตาย
..........
แสดงความคิดเห็นของคุณ...
    โฆษณา