One Piece (วันพีซ) หนังสือการ์ตูนมังงะโดย อ.เออิจิโระ โอดะ มีตอนหนึ่งที่ผมเห็นโอเด้งบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรในตอนที่เขาออกเดินทางไปกับเรือของโรเจอร์ (ราชาโจรสลัด) จนเขาไปพบกับอะไรต่อมิอะไรที่สุดยอดมากๆ แค่เรื่องนี้ก็ทำให้ผมมีแรงบันดาลใจที่จะบันทึกอะไรสักอย่างหนึ่งแล้ว
อย่างน้อย...ก็เป็นบันทึกเรื่องราวที่ผมประสบมาในแง่มุมของผมเอง นี่แหละ... ณ เวลานั้นๆ เป็นเวลาที่อยู่ในห้วงๆ หนึ่งที่ไม่อาจหวนคืนกลับมาได้อีก แต่นั่น...ก็ไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่ผ่านมาแล้วมันจะผ่านเลยไป มันอาจจะเป็นเรื่องราวนิรันดร์ที่จะวนเวียนอยู่ในบันทึกนี้อย่างไม่รู้จบก็เป็นได้ หรือไม่...มันก็อาจเป็นปฐมบทของเรื่องราวใหม่ๆ ที่รอคอยผมอยู่ในวันข้างหน้า
บันทึกเก่าๆ ของผมบางเล่ม ผมเลือกที่จะเผามันไป
และบันทึกเก่าๆ ของผมบางเล่มที่ยังอยู่ ผมลองเปิดดูมันอีกครั้ง
มันไม่ได้ทำให้ผมประทับใจจนร้อง “ว้าว” ขึ้นมา แต่มันก็ให้กลิ่นอายของช่วงเวลา...ที่ผมไม่อาจกลับไปสัมผัสมันได้ดังเดิมแล้ว ก็เพราะเหตุนี้...เรื่องราวของบันทึกนี้ ก็คงเป็นวันวานที่ผมอยากจะบันทึกกลิ่นอายของมันอย่างดีที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้
บันทึก...ที่เป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งสถานที่พักพิง ที่ซึ่งผมพอหลบจากเรื่องราวต่างๆ ภายนอก หลบเข้ามาอยู่ในมุมหนึ่งของแผ่นกระดาษ ยิ่งเป็นกระดาษที่ว่างเปล่า ยิ่งน่าหลงใหล
ความเครียดในเรื่องราวต่างๆ ที่ต้องดำเนินชีวิตในฐานะมนุษย์ ทำเอาผมรู้สึกแย่ได้เหมือนกัน แต่พอวันเวลาล่วงผ่าน ก็ชินกับมันไปโดยปริยาย เรื่องราวบางอย่างไม่ได้เบาลง เพียงแต่เรารับมือมันได้มากขึ้นกว่าเดิมก็เท่านั้น
ยังจำถึงวันวานเวิ้งว้างนั้นได้ดี
นี่เราทำอะไรอยู่?
เรียนจบมาโดยที่ทางบ้านส่งเงินก้อนใหญ่ไปกับการศึกษา แต่ผมกลับไม่มีเครือข่ายสังคมที่จะเข้าไปทำงานด้วยกันกับพวกรุ่นพี่หรือใครๆ ที่รู้จักได้เลย ผมเป็นพวกเก็บตัว...จึงไม่ได้สุงสิงกับใครมากนัก เป็นเช่นนี้นับตั้งแต่ครั้งที่ยังเรียนอยู่มานานแล้ว มันเหมือนคนที่ฝืนนิสัยของตนไม่ได้ ทั้งๆ ที่เราก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันคือทางออก
“หัวใจหลักของการทำงาน คือการเข้ากับคนให้ได้”
ปรมาจารย์ใบหน้าสี่เหลี่ยม ขาวละเมียด ดวงตาเรียวยาวดุจหงส์
อาจารย์ไผ่ อาจารย์หนุ่มไฟแรง ร่างล่ำ เดินเป็นระยะทางหลายกิโลเมตรเป็นอาจิณ และเป็นอาจารย์ที่สูงส่งสำหรับผมเสมอมา ครั้งแรกที่ผมเรียนกับท่านคือหลักวิชากฎหมายมหาชน
“พวกเอ็งอายุ 20 กันแล้ว ยังหากินเองไม่ได้ ไปดูลูกเจี๊ยบสิมันหากินเองได้เร็วกว่านี้อีก” ประโยคเท่าที่ผมพอจะจำได้จะเป็นประมาณนี้ เป็นประโยคที่ท่านใช้กระตุ้นพวกนักเรียนเสมอ
“ในขณะที่พวกเอ็งกำลังนอนหลับอยู่ พวกเอ็งรู้ไหมว่า...ยังมีคนที่ตื่นก่อนพวกเอ็งอยู่ แล้วเขาก็อ่านหนังสือล่วงหน้าไปก่อนเอ็ง 2 ชั่วโมงแล้ว”
นักศึกษาทำได้แต่นั่งยิ้ม...
ผม...ขณะที่อายุกำลังจะ 30 เมื่อ 5 ปีก่อนกำลังนอนจ้องเพดาน...
เสียงนาฬิกาตั้งโต๊ะยังดัง ติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก
ขณะนั้นก็ไม่ได้ไปคิดถึงตนเองตอนอายุยี่สิบกว่าๆ ในรั้วมหาวิทยาลัยในครั้งกระนั้น เพียงย้อนคิดถึงเรื่องราวที่เพิ่งผ่านไปไม่นาน
จบจากมหาวิทยาลัยด้วยการเรียนรวมกันทั้งหมด 6 ปี ซ้ำชั้นไปหนึ่งรอบตอนปีแรก จบมาด้วยเกรดเกือบไม่ผ่าน ไม่ตั้งอกตั้งใจเรียน เงินที่ทางบ้านส่งมาไม่กล้าเอาไปคิดคำนวณ ไหนจะยังระยะเวลายาวนานของการไร้ซึ่งหน้าที่การงานที่มั่นคงอีก
ร่ายยาวมาถึงจนบัดนี้ ช่างอายตัวเองนัก
จะรักใครสักคน...ก็ยังถีบตัวเองไปในจุดที่รอดยังไม่ได้
แต่ความคิดที่แสนบ้าบอ...ในขณะที่เงินในบัญชีเหลือเพียงไม่กี่พัน พลันปรากฏขึ้น...
“เรามั่นคงอยู่แล้ว แล้วไอ้คนอย่างเราเนี่ย มันต้องยิ่งใหญ่ได้แน่ แค่รอเวลา”
... แค่รอเวลา? ใครเขาจะเชื่อเรื่องเพ้อเจ้อพรรค์นี้
แล้วถ้าหมดสิ้นหนทาง...เราจะไปสุดปลายทางในรูปแบบไหน?
นั่งเหี่ยวตายแบบต้นไม้ที่ไม่ได้น้ำเช่นนั้นหรือ... มันก็ไม่เคยไปสุดทางแบบนั้นสักที
หิวจนไส้คอดกิ่วหรือ? ก็มีบ้างแต่ไม่บ่อย
อาศัยเงินของพ่อแม่ประทังมาจนบัดนี้ รู้สึกผิดมหันต์ในชีวิต ... จะบันทึกอะไรต่อลงไปได้อีก...
...
ผมเพียงฝันถึงขนมจีบ และผมก็ไม่เคยฝันถึงมันแบบชิ้นเดียวโดดๆ เลย มันมีมากมายหลายชิ้นในถุงพลาสติกถุงเดียวกัน เป็นเรื่องแปลกสำหรับผม ที่บันทึกมาถึงตอนนี้
ปี 2566 แล้ว...ยังใช้เงินแม่อยู่เลย
แล้วขณะนี้...ผมกำลังทำอะไรอยู่
ผมมีชีวิตอยู่ต่อ...เพื่อที่จะหาทางชดใช้หนี้ชีวิตของผม เพื่อวันหนึ่งผมจะได้อุทิศหลายสิ่งหลายอย่างให้ผู้มีพระคุณของผม เพื่อที่ผมจะได้พบกับใครสักคนที่ผมยังไม่เคยได้พบ และก็เพื่อที่จะพบ...ผู้ที่ผ่านทางมายังบันทึกนี้...
ต้นเดือนเมษายน 2566 ... ผมรื้อเรื่องราวทั้งหมดของผม กลับมาไล่เรียงเขียนมันขึ้นมาใหม่
วันนี้ผันผ่านไป ผมยังอยู่กับแม่ที่ร้าน ณ เชดัง
สามารถมีโอกาสบันทึกเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ ลงสมุดและคอมพิวเตอร์พกพายี่ห้อ Huawei
ผม ยังมีชีวิตอยู่ ถึง ณ ตอนนี้

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
112 รับชม
แสดงความคิดเห็นของคุณ...
    โฆษณา