เรื่องเดียวที่ผมเถียงกับปู่เสมอ ผีมีจริง? แล้วเสียงของปู่ก็จะดังขึ้นมาว่า...
“คุณเคยเห็นผีตัวเป็นๆ ไหม ผมเกิดมาไม่เคยเห็นสักครั้ง” เป็นภาษาไทยทั้งหมด ยกเว้นคำว่าคุณกับผม ที่ปู่ของผมท่านจะพูดในภาษาดั้งเดิมของท่าน ท่านเชื่อว่าบนโลกนี้ไม่มีผี เพราะท่านไม่เคยเจอสักครั้ง ส่วนผมกลับเชื่อว่ามีผี เพียงแค่ผมฝันเห็นมันเพียงครั้ง (และต่อมาอีกหลายๆ ครั้ง)
นั่นเป็นตอนที่ผมคุยกับท่านในความทรงจำที่ผ่านมานานแล้ว...
จำไม่ได้แล้วว่า...ผมไปเจอเรื่องแปลกๆ หรือไม่ก็บางสิ่งที่เรียกว่า “ผี” ตั้งแต่เมื่อไหร่
มันค่อยๆ เป็นศัพท์ที่เข้ามาเป็นคำให้เราเรียกได้เต็มปาก บรรยายเป็นฉากๆ ได้เต็มความรู้สึก เริ่มเมื่อตอนที่ผมเข้าเรียนอนุบาลกับเพื่อนๆ มันเป็นเรื่องราวที่แทรกอยู่ในหลายช่วงของชีวิต นับตั้งแต่วัยเด็กที่ผมเคยร่างรูปผีลงบนกระดาษตามเพื่อน เราเห็นมันได้จากสื่อตามโทรทัศน์ เป็นการ์ตูนบ้าง เป็นละครหรือภาพยนตร์บ้าง จนจดจำไปเล่นกับเพื่อนๆ ที่โรงเรียน เล่าเรื่องราวต่างนานาที่ได้เคยได้ยินได้ฟังมาต่อๆ กัน มันทั้งหวิวใจ หลอน และน่าตื่นเต้นที่จะเล่า จนไปถึงการพูดซ้ำแล้วซ้ำอีก
ไม่เคยเห็นตัวเป็นๆ จริงๆ จังๆ แต่ถ้าในห้วงภวังค์ฝัน ค่อนข้างชัดเจน
หาข้อมูลอ้างอิงหรืออะไรสักอย่างตามหลักวิชาการดูก็ได้ มีหลากมุมหลายคำตอบ แต่ผมคร้านที่จะมองในมุมนั้นไปเสีย ผมพูดตามสิ่งที่ประสบมาล้วนๆ และแน่นอน...บางอย่างมันยังเป็นแค่เพียงคำถาม ที่รอคอยวันเวลาที่จะทำให้คำตอบนั้นชัดเจนขึ้น
ครั้งแรกๆ ที่ผมพบเจอเรื่องราวที่พูดยากเหล่านี้ ผมอยู่อนุบาลสอง
มันเป็นค่ำคืนที่อยู่ในระหว่างของรัตติกาลที่มืดดำ และได้เงียบลงแล้วจากสรรพสิ่งรอบข้าง ตอนนั้นผมฝันไปว่าผมตื่นขึ้นมาคนเดียว ข้างๆ มีพ่อแม่และน้องสาว ที่นอนหลับไม่รู้เรื่องอะไรกันทั้งสิ้น อยู่ๆ ที่หน้าต่างก็ปรากฏหัวกับไส้ของยายแก่คนหนึ่งลอยมาแสยะยิ้มให้ผม ยิ้มที่ไม่เหมือนยิ้ม สีเขียวเรืองๆ รอบกายนั้นส่องสว่าง
มาหาผมทำไม? ผมคิด
ถึงผมพยายามเรียกหรือสะกิด ก็ไม่มีใครตื่นขึ้นมาเลย เพราะนั่นมันคือความฝัน
ไอ้โปสเตอร์สัตว์โลกผู้น่ารัก หอยชนิดต่างๆ ปลาชนิดต่างๆ สัตว์น้ำชนิดต่างๆ ที่พ่อผมบอกว่าใครสักคนซื้อมาให้ ติดอยู่ในห้องนอน พอผมเข้าสู่ห้วงฝัน มันกลับกลายเป็นหัวกับขดไส้ของยายผีแก่ตนนั้นในมุมต่างๆ มีทั้งภาพมุมใกล้มีทั้งภาพมุมไกล เล่นเสียหลายรูปแบบให้รู้สึกหลอนลึกพิกล ผมฝันเช่นนั้นนานมาก มากเสียจนครบปี ไม่รู้เพราะผมไปเห็นละครที่เผยแพร่ทางโทรทัศน์ในช่วงเวลานั้น หรือผมไปเล่นเป็นอาจารย์ปราบผีมากเกินไปจนเก็บมาฝัน...ก็ไม่รู้
แล้วจะผีตนเดิมรึเปล่าผมก็ไม่แน่ใจ มันมาอีกครั้งตอนที่ผมเรียนอยู่ชั้น ป.5 มาห้อยหัวแถวระเบียงหลังบ้าน ตอนนั้นผมเผลอหลับไปในยามเย็นที่แดดผีตากผ้าอ้อมหรี่ตัวลาไป มันหลอนผมแบบมาให้เห็นในความฝัน เนิ่นนานที่จ้องมองผม ผมกระดุกกระดิกไม่ได้เสียด้วย จำต้องมองภาพนั้นๆ ด้วยความกลัว บางครั้งมันก็มาในความฝันต่อเนื่องราวกับภาคต่อ
ปกติผมชอบอ่านหนังสือนิทานภาษาไทย พอฝันทีไรก็มักจะวิ่งไปค้นหาหนังสือที่ลิ้นชัก พอเปิดหนังสือออกก็จะมีภาพผีกระสือมีไส้ เป็นภาพสีที่วาดด้วยฝีไม้ลายมือของศิลปินยุคเก่า ในเนื้อหามีเรื่องราวความเป็นมาของผีแต่ละตนที่ผมเผลอปรายตาไปอ่าน แม้จะไม่ชอบ แต่ผมก็พอที่จะรู้เรื่องราวของพวกเขายามเป็นมนุษย์ เหตุของการจบชีวิต ยาวไปถึงเรื่องราวบทใหม่ที่อยู่ในอีกภพภูมิอีกภาพลักษณ์ มันหลอนจนผมต้องรีบปิดหนังสือ ตั้งท่ารีบวิ่งจะเอาไปเผา แต่ก็เป็นอันตื่นจากฝันก่อนเสียทุกครั้ง
จวบจนผมโตมาในเวลาที่ยังเรียนอยู่ชั้น ม.1 กำลังจะขึ้นชั้น ม.2 ผมก็เจอมันมาวนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า 1 อาทิตย์ แต่เป็นคนละตนกับคราครั้งก่อน มันมาปรากฏแล้วแสยะยิ้ม หลอนและเยียบเย็นไปเสียทุกครั้งยามฝัน ผมไม่ทราบว่าผมไปจำหน้าใครมาฝันหรือเปล่า แต่เท่าที่ผมเข้าใจ...ในฝันผมไม่รู้จักพวกเขาเลย
บางค่ำคืนที่ผมยังพักอาศัยใน ‘หอพักแห่งหนองห่านป่า’ นั้น ผมก็ฝันถึงอะไรสักอย่างตัวขนาดเล็กแฝงอยู่ในกำแพง ไม่อาจเป็นตัวเป็นตน แต่ก็ใช่ว่าไร้ซึ่งตัวตน มันทำให้ผมนึกไปถึงฝันร้ายในยามเด็กของผม ที่ผมเคยฝันว่าผมเข้าไปใต้เตียงที่ตนนอน มีแสงไฟส่องสว่าง ในนั้นมีสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาด เหมือนคนบ้างไม่เหมือนคนบ้าง ดำรงชีวิตอยู่อย่างเงียบๆ ผมจำได้ว่าในฝันผมอึดอัด แล้วก็ร้องไห้ตื่นขึ้นมา พอตื่นขึ้นก็ตอบไม่ได้ว่าร้องไห้เพราะอะไร
มันเหมือนเป็นความดำมืดที่ผมไม่อาจอ้างเหตุผลมาถกใครได้
บางครั้งที่ผมกำลังนอนอยู่บนเตียง เคลิ้ม...กำลังจะเข้าห้วงภวังค์ อยู่ๆ เตียงที่ผมนอนก็ราวกับจะลอยได้ รอบตัวมีคลื่นอากาศโดยรอบ ไม่ใช่ห้อง แต่มันเหมือนมิติอะไรสักอย่าง ผมได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ ได้ยินเสียงกรี๊ดของผู้หญิงที่เยือกเข้าไปราวกับทิ่มแทงหัวใจ ผมใจสั่น กว่าจะตื่นขึ้นมาได้ก็นานพอควร
มันมีเรื่องราวหลายเรื่องที่ผมได้พบ บ้างก็คล้ายลางบอกเหตุ จะว่าการปรากฏของสิ่งนั้นไม่ดีไปเสียทั้งหมดก็ไม่ใช่ คราครั้งกระโน้นผมเจอเรื่องแปลกๆ เข้ามาในฝันบ่อยๆ อาจดูเป็นเรื่องเหลือเชื่อก็ไม่ผิด แต่ผม...ผู้สัมผัสเอง...จะให้ผมอดคิดก็ไม่ได้ บางครั้งก็เป็นคุณประโยชน์ที่มาแจ้งเตือน บางครั้งก็ปรากฏโทษในรูปแบบของความรู้สึกกลัว
บางครั้งผมก็เข้าห้วงภวังค์ไปพบกับตัวตนของบางสิ่งซ้ำๆ
อย่างเรื่องของหญิงหน้าคมขำผิวสีน้ำผึ้งผู้หนึ่ง แม้ในความฝันผมก็รู้ถึงสีผิวของเธอ
ในภวังค์ฝัน...เต็มไปด้วยบรรยากาศที่ปรากฏแสงสว่างเพียงเล็กน้อย ต้นสัตบรรณที่ชาวถิ่นขนานนามว่าต้นตีนเป็ด มีมากมายอยู่หน้าตัวอาคารหลักของหอพัก
ในยามค่ำคืนก่อนที่ผมจะหลับไปในความรับรู้ทางมโนทวาร...
ต้นสัตบรรณนั้นพลันไปอยู่ในป่าหนึ่งที่มีแสงเขียวอร่ามเรือง ใบไม้ที่ปลิดปลิวโปรยปรายลงมา ทั้งยังมีระยับของแสงสะท้อนวูบวาบ ลอยเอื่อยเฉื่อยลงมาปรากฏ ราวความโรแมนติกในละครห้วงหนึ่ง
และเธอ...ผู้ที่ผมกล่าวไปเมื่อครู่ มีเพียงหัว คอ และรากที่งอกออกจาคอมาเพียงเท่านั้น เธออยู่ใต้ต้นไม้ที่เรืองรองไปด้วยแสงสีเขียว เหม่อมองต้นสัตบรรณนั้นเงียบๆ ท่ามกลางความเป็นไป ผมสัมผัสภาพนั้นมาหลายครั้ง จนภายหลังทางหอพักก็ได้จัดการโค่นไม้ใหญ่หลายต้นลง รวมถึงต้นสัตบรรณต้นนั้นด้วย
วันหนึ่งในยามค่ำคืนก่อนที่ผมจะหลับตาลง มีชายร่างยักษ์มาปรากฏกายในท่ามกลางความมืดสลัวที่มีแต่เพียงไฟทางด้านนอกส่องถึง ผมคงเข้าภวังค์ไปแล้ว อาการคล้ายกึ่งหลับ
ไม่ได้ตื่น แต่ก็ไม่ใช่ความฝันเสียทั้งหมด
ผมได้รับสัมผัสจากภาพ...(ผ่านทางจิต)
ในตัวของชายร่างยักษ์ตนนั้น ยังมีใครอีกคนหนึ่งอาศัยอยู่ในท้องอันมหึมาของเขา ตัวชายร่างยักษ์ผิวขาวเองก็เพียงหลับตาพริ้มไม่สนใจเรื่องราวใด ชายที่ออกมาจากท้องของชายร่างยักษ์ก็หลับตาพริ้ม ยังคงไม่สนใจว่าใครรอบข้างสนใจจะมอง
สักพักภาพนั้นเลือนไป พร้อมกับการปรากฏกายของหญิงสาวคมขำผู้นั้น (ดังที่เคยกล่าวไปแล้ว) มาแทนที่ คราวนี้เธอมาเต็มตัวเต็มตน ไม่ใช่มีแค่หัว คอ และราก ดั่งที่เคยฝันถึงในกาลก่อน เธอปรากฏกายเต็มตัวดังมนุษย์ดีๆ เรานี่เอง แต่แววตาและใบหน้าที่สวยงามของเธอก็ยังเย็นชา ชวนให้คนที่เห็นรู้สึกเยียบเย็นเข้าไปถึงหัวใจ เธอปรากฏใบหน้าให้ผมกลัวจับใจขึ้นมาเช่นนั้นเนิ่นนาน แล้วก็ค่อยๆ เปล่งแสงสีขาวจ้าในกายที่เป็นแก่นไม้ให้ได้ปรากฏ
ปรากฏ...ให้รู้ว่าผมโดนรูปลักษณ์หลอกมาตลอด เธออาจจะเป็นภูติชั้นสูงที่มาลองใจ หรือไม่ก็เป็นเรื่องธรรมดาของโลกอื่น ที่จิตผมเผอิญไปแตะกระทบ
ผมพอเข้าใจข้อคิดในวันนั้น ว่าแม้กระทั่งสิ่งที่ปรากฏในฝันหรือไม่ก็ในภวังค์นั้น...ยังมีม่านแห่งมายา
คนเราเล่า...จะเห็นสิ่งที่อยู่ภายในใจคนอื่นได้อย่างไร? แล้วรูปลักษณ์ที่ตาเราเห็น เราจะเชื่อได้ดังที่ตาเราเห็นอย่างนั้นเลยหรือ?
ยากจะหยั่ง ไม่ว่าจะอยู่ในภวังค์เวลาหรือมิติใดก็ตาม
“คุณเคยเห็นผีตัวเป็นๆ ไหม ผมเกิดมาไม่เคยเห็นสักครั้ง” ปู่ผมถาม ขณะที่เราทั้งคู่กำลังเดินไปบนถนนที่มีแต่แสงไฟทางสาดส่องเป็นวง
“เคยสิ”
“มันเป็นตัวอย่างไร”
“มันเป็นตัว...(ดังได้ที่เคยเล่าไป)”
ปู่ส่ายหัวอย่างอิดหนาระอาใจ
ใช่ นั่นมันความฝัน คำว่ามันเป็นตัวอย่างไร ความหมายของท่านก็คือมองเห็นคาตานั่นแหละ และอะไรก็ตามที่มันทำให้ผมกลัว ท่านก็เข้าใจว่าผมกำลังต่อสู้กับมันอยู่
มันเป็นเพียงร่องรอยบางๆ ที่จารึกลงไปโดยที่เราไม่รู้ตัว มองก็ไม่เห็น
ความกลัวมันเป็นตัวอย่างไร ตราบใดที่ผมกล้าหาญ ผมก็ไม่เคยที่จะมองเห็นมันสักครั้ง นั่นอาจเป็นเพียงบางมุมมองของปู่ ที่ผมบังอาจสันนิษฐานโดยการเออออไปเอง

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
186 รับชม
แสดงความคิดเห็นของคุณ...
    โฆษณา