25 พ.ค. 2023 เวลา 16:33 • สุขภาพ

😖คนท้อง-ท้องผูก

🤰คนท้องเกิดอาการท้องผูกจากการเปลี่ยนแปลงสรีระทางกายจนทำให้ลำไส้ใหญ่ส่วนปลายถูกเบียด​​ รวมทั้งฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน​เปลี่ยนแปลง​ ทำให้ลำไส้เคลื่อนไหวได้ช้าลง​ ซึ่งสามารถรักษาได้ด้วยยาระบายบางชนิด​
1️⃣การรักษาหลัก​ (1st line treatment)
ยาระบายที่ออกฤทธิ์โดยการเพิ่มปริมาณอุจจาระ​/Bulk-forming laxatives อาทิเช่น
ไฟเบอร์จากเมล็ดเทียนเกล็ดหอย (psyllium husk)
หรือเมทิลเซลลูโลส (methylcellulose)
ยาระบายชนิดนี้เมื่อถูกน้ำจะพองตัวและอุ้มน้ำไว้ในลำไล้ ทำให้อุจจาระมีลักษณะเป็นก้อนนิ่มขึ้นและเพิ่มปริมาณอุจจาระ ซึ่งช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ให้ขับถ่ายได้ง่ายขึ้น​
ใช้ได้ในหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร เนื่องจากยาไม่ถูกดูดซึมจากทางเดินอาหารและไม่กระจายผ่านน้ำนมไปสู่ทารก​
ยากลุ่มนี้ส่วนใหญ่อยู่ในรูปยาผง​
ให้ละลายผงยาในน้ำเย็น​อย่างน้อย 1 แก้ว (240 มิลลิลิตร)
คนให้ละลายเข้ากันดี
จากนั้นดื่มให้หมดแก้วโดยทันทีและต้องดื่มน้ำตามอีกอย่างน้อย 1 แก้ว รวมถึงควรดื่มน้ำให้เพียงพอในระหว่างวัน​ ประมาณ 8-10 แก้วต่อวัน (2-2.4 ลิตร) เนื่องจากหากดื่มน้ำไม่เพียงพออาจทำให้ยาอุดตันในลำไส้ ส่งผลให้อุจจาระแข็งและถ่ายยากมากขึ้น
ข้อควรคำนึงในการรับประทาน
❌ไม่ควรกินก่อนนอน เนื่องจากเพิ่มโอกาสอุดตันในลำไส้
❌ห้ามผสมยาในน้ำร้อน เนื่องจากทำให้ผงยาไม่ละลายและกลายเป็นวุ้น
✔️ให้กินยาหลังผสมโดยทันที ไม่ตั้งทิ้งไว้จนกลายเป็นวุ้น หรือเป็นของเหลวที่มีความข้นหนืด
✔️กินห่างจากยาอื่นอย่างน้อย 2 ชั่วโมง
เนื่องจากยาระบายชนิดนี้อาจถูกย่อยสลายโดยแบคทีเรียภายในลำไส้แล้วเกิดเป็นแก๊ส ส่งผลให้มีอาการท้องอืดหรือปวดท้องได้ อาการไม่พึงประสงค์นี้ที่พบได้ทั่วไปหลังเริ่มใช้ยาในช่วงแรก และต่อมามักมีอาการดีขึ้น​
2️⃣การรักษาอันดับสอง (2nd Line: add Lactulose)
ในกรณีที่​ใช้การรักษา​หลักแล้วยังมีอาการท้องผูก​ ให้เพิ่มยาชนิดที่​ 2 เข้าไปในการรักษา​ นั่นคือ​ แลคตูโลส
แลคตูโลส เป็นน้ำตาลโมเลกุลคู่ ที่ไม่ถูกย่อยและไม่ถูกดูดซึมในทางเดินอาหาร
แลคตูโลส จะถูกย่อยโดยแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ ได้เป็นกรดไขมันสายสั้น (short-chain fatty acid) ที่มีความเป็นกรดเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสภาวะที่เพิ่มการดูดน้ำเข้ามาในโพรงลำไส้ใหญ่ กระตุ้นการเคลื่อนตัวของลำไส้ ทำให้ขับถ่ายได้สะดวกขึ้น
ปกติจะออกฤทธิ์ภายใน 8–12 ชั่วโมง แต่อาจใช้เวลาถึง 2 วันก่อนที่อาการท้องผูกจะดีขึ้น
3️⃣การรักษาลำดับที่​ 3
3rd line: add Stimulant laxatives
 Bisacodyl
 Glycerol suppository
 Senna – avoid near term, or if a history of unstable pregnancy
ในกรณี​ที่เพิ่มแลคตูโลสเข้าไปในการรักษาแล้วยังไม่ดีขึ้น​ จึงค่อยเพิ่มยาระบายที่มีฤทธิ์แรงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นบิซาโคดิล​ ยาระบายมะขามแขก​ หรือยาเหน็บกลีเซอรีน​ ซึ่งเป็นยาระบายชนิดกระตุ้นการทำงานของลำไส้​
ถูกดูดซึมเข้าระบบร่างกายได้บ้างในปริมาณที่ถือว่าไม่มาก และไม่พบว่ายาทำให้เกิดผลเสียต่อทารกในครรภ์​ เมื่อมารดาใช้ยาเหล่านี้เป็นครั้งคราว​
ไม่แนะนำให้ใช้ประจำ​
ควรหลีกเลี่ยงในขณะใกล้คลอด​ หรือในผู้ที่ตั้งครรภ์​ผิดปกติ
ยาในกลุ่มนี้มีฤทธิ์แรงและออกฤทธิ์ได้เร็ว ไม่เหมาะที่จะใช้เป็นเวลานานเนื่องจากเสี่ยงต่อการขาดสารอาหาร​ และการเสียสมดุลอิเล็กโทรไลต์ นอกจากนี้การใช้เป็นเวลานานอาจรบกวนระบบประสาทในทางเดินอาหาร (enteric nervous system) ด้วยเหตุนี้จึงมักใช้ยากลุ่มนี้ไม่เกิน 4 สัปดาห์
ยาในกลุ่มนี้เริ่มเห็นผลในการช่วยขับถ่ายภายใน 6-12 ชั่วโมงหลังกินยา
4️⃣ในกรณีที่​ใช้ยาระบายชนิดกระตุ้นการทำงานของลำไส้​แล้วยังไม่ได้ผล​ ให้หยุดใช้ยาในกลุ่มที่3​ แล้วเปลี่ยนไปใช้ยากิน​ docusate sodium ซึ่งเป็นยาที่ไปลดแรงตึงผิวของอุจจาระ​ ช่วยให้อุจจาระเหลวและขับถ่ายง่ายขึ้น​ ไม่ถูกดูดซึมเข้าระบบร่างกาย​ โดยยาให้ผลช่วยขับถ่ายภายใน 1-2 วันหลังใช้ยา​
⏺️NHS ระบุให้ใช้เฉพาะยาระบายตามที่กำหนด​ ห้ามใช้ยาระบายชนิดอื่นนอกเหนือจากนี้​ การใช้ยาระบายอื่นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
ℹ️NOTE
1.ยาระบาย​ MOM (Milk of magnesia) เป็นยาระบายที่มีฤทธิ์แรง​​ ไม่แนะนำให้ใช้ในหญิง​มีครรภ์​ เนื่องจากเสี่ยงต่อการเกิดภาวะมดลูกหดรัดตัวก่อนกำหนดคลอด(premature uterine contractions) การใช้ยาจึงจำเป็นต้องชั่งน้ำหนักระหว่างข้อดีข้อเสียที่จะเกิดขึ้น
2.ไม่แนะนำให้ใช้ยาระบายชนิดสวนทวาร​ เนื่องจากมีข้อมูลน้อย​ รวมทั้งยาสวนทวารมีฤทธิ์​กระตุ้นลำไส้​ อาจทำให้เกิดการสูญเสียน้ำอย่างมากได้​ จึงใช้ในกรณีการเตรียมคนไข้ เช่น การผ่าตัด​ หรือ การผ่าท้องคลอด ในกรณีที่​อุจจาระแข็งมากๆ​ แนะนำให้ไปโรงพยาบาล​
3.ยาระบายรุ่นใหม่ ได้แก่ lubiprostone และ prucalopride ไม่แนะนำให้ใช้ในหญิงตั้งครรภ์ เนื่องจากไม่มีการศึกษาในมนุษย์ จากการศึกษาในสัตว์ทดลอง พบว่า prucalopride ไม่เกิดพิษต่อตัวอ่อน อย่างไรก็ตาม มีรายงานการเกิดภาวะแท้งในหญิงตั้งครรภ์ขณะที่ได้รับ prucalopride ส่วน lubiprotone พบรายงานการเกิดพิษต่อตัวอ่อนในการศึกษาในสัตว์ทดลอง
4.ยาระบายควรใช้เป็นครั้งคราว หยุดใช้เมื่ออาการท้องผูกทุเลาลง ในระยะยาวควรรักษาอาการท้องผูกโดยไม่ใช้ยาด้วยการปรับพฤติกรรมด้านการบริโภคอาหาร​ ดื่มน้ำให้มากพอเพื่อให้อุจจาระอ่อนนุ่มถ่ายง่าย​ ออกกำลังกาย​ และเคลื่อนไหวร่างกายอยู่เสมอ เพื่อให้ลำไส้เคลื่อนไหวได้ดีขึ้น​หรือใช้ทางเลือกอื่นเสริม​ เช่น​ น้ำลูกพรุน​ โปรไบโอติก เม็ดเชีย หรือ​ อเคเชีย​ ไฟเบอร์
5.สำรวจว่ามียาที่ทำให้ท้องผูกด้วยหรือไม่​ เช่น​ แคลเซียม​ ธาตุเหล็ก​ ถ้าจำเป็นอาจต้องให้แพทย์ปรับขนาดยา​ หรือเปลี่ยนยา
😄มี​ปัญหา​เรื่อง​การ​ใช้​ยา​ เชิญ​ปรึกษา​เภสัชกร​
.
.
💢
อ่านเพิ่มเติม
Review Article การจัดการภาวะท้องผูกเรื้อรังสำหรับเภสัชกรชุมชน
.
.
.
.
.
.
POSTED 2023.05.25
บทความอื่น
ยาที่ทำให้ท้องผูก
ยาระบาย
ยาสวนทวาร
🍌ก็แค่ยาระบาย​ เรื่องกล้วยๆ​ - milk of magnesia
🔰Forlax®
📌ไฟเบอร์สำหรับคนเป็นท้องผูก
😰ท้องผูกเรื้อรัง​
โฆษณา