ขณะที่ทาง BOJ เริ่มใช้นโยบายดอกเบี้ยติดลบในปี 2016 นับเป็นการเพิ่มเติมนโยบายใหม่เข้ามาเพื่อต่อสู้กับภาวะเงินฝืดหรือราคาที่ลดลงมาเป็นเวลายาวนาน โดยนโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบของ BOJ นั้นจะถูกใช้เฉพาะกับเงินฝากส่วนเล็กๆที่ธนาคารเอกชนฝากไว้กับ BOJ เท่านั้น ขณะที่เงินฝากรายย่อยหรือของประชาชนจะไม่ตกอยู่ภายใต้นโยบายดังกล่าวค่ะ
โดย BOJ นับเป็นธนาคารกลางแห่งสุดท้ายของโลกที่ใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบ และการใช้นโยบายดังกล่าวเป็นเวลานานทำให้ความสามารถในการทำกำไรของธนาคารลดลง และช่วยทำให้เงินเยนอ่อนค่าลง เนื่องจากธนาคารกลางอื่นๆทั่วโลกขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งก็ยิ่งส่งผลให้ค่าเงินของญี่ปุ่นมีเสน่ห์ลดลงไปอีก นอกจากนี้เงินเยนที่อ่อนค่าลงยังได้ทำให้ต้นทุนการนำเข้าเพิ่มขึ้นอีก โดยสร้างแรงกดดันให้กับผู้บริโภค เนื่องจากเงินเดือนของพวกเขาไม่สามารถปรับตัวขึ้นได้ทันกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นได้นั่นเอง
1
3️⃣ ทำไม BOJ จึงยุติโครงการอัตราดอกเบี้ยติดลบตอนนี้?
บริษัทญี่ปุ่นตกลงที่จะขึ้นค่าจ้างจำนวนมาก ทำให้เกิดความคาดหวังว่าเงินเดือนที่มากขึ้นจะทำให้ครัวเรือนต่างๆยินดีที่จะใช้จ่ายมากขึ้นตามไปด้วย ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ BOJ เรียกว่าวงจรที่ดีของราคาที่สูงขึ้นพร้อมๆไปกับการขึ้นค่าจ้าง
โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สหภาพแรงงานรายงานการเติบโตของค่าจ้างเบื้องต้นในระดับสูงสุดในรอบหลายทศวรรษ ส่งผลให้ BOJ ตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยในวันอังคารที่ผ่านมาค่ะ พร้อมระบุอีกว่าวงจรดังกล่าว “มีความมั่นคงมากขึ้น”
ขณะนี้ BOJ ได้ยุตินโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบไปเรียบร้อยแล้วด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2007 คำถามต่อไปคือ BOJ จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปสูงแค่ไหน
1
โดยทางผู้ว่าการ BOJ คุณ Kazuo Ueda ได้ระบุแล้วว่าการดำเนินนโยบายการเงินโดยรวมของธนาคารกลางจะยังคงผ่อนคลายต่อไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งหมายความว่าเขาจะไม่ดำเนินการขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลายครั้งเหมือกับที่ FED และ ECB รวมถึงธนาคารกลางที่อื่นๆทำในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะเมื่อความอ่อนแอในภาคการบริโภคของญี่ปุ่นจะกดดันให้ BOJ ต้องระมัดระวังในการดำเนินนโยบายในยุคใหม่นี้ค่ะ