6 มิ.ย. 2024 เวลา 09:08 • ความคิดเห็น

จุดประสงค์ที่แท้ของกฎหมายคุ้มครองสัตว์…

เห็นข่าวไซโดนราดน้ำร้อนแล้วก็อนาถใจ
อนาถที่เจ้าของยังแก้ตัว ว่ามันทำลายข้าวของ
แต่ที่อนาถกว่า คือบางคนไปคอมเมนท์ทำนองว่า
กฎหมายคุ้มครองสัตว์นั้นรุนแรงเกินไป ….
ในต่างประเทศโดยเฉพาะฝั่งตะวันตกนั้น
กฎหมายทรมานสัตว์ค่อนข้างรุนแรงมาก
ไม่ใช่ว่าผู้เขียนบ้าฝรั่ง เลยอยากได้เหมือนเขานะ
แต่ที่จริงแล้วมันมีสาเหตุที่เป็นวิทยาศาสตร์ทางสถิติ
ที่สามารถจับต้องได้
…คือ คนที่มีพฤติกรรมทรมานสัตว์ มักมีส่วนกับอาชญากรรม
ร้ายแรงตามมาในภายหลัง ….
ในสหรัฐ จะมีหน่วยงานรัฐวิเคราะห์พฤติกรรมของอาชญากร
เป็นหน่วยงานย่อยใน FBI เรียกว่า BAU
( Behavioral analysis unit, BAU )
พวกเขาพบว่า อาชญากรโดยเฉพาะฆาตกรต่อเนื่องนั้น
มักมีอดีตเกี่ยวกับการทรมานสัตว์มาก่อน
การวิเคราะห์ตามหลักจิตวิทยา บอกว่า
การทรมานสัตว์จำพวกสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่ไม่มีทางสู้นั้น
คือ ลักษณะของการชอบควบคุม แสดงความเหนือกว่า
หรือเป็นการแก้แค้นต่อปมอะไรบางอย่างในใจ
ซึ่งเมื่อทำบ่อยๆเข้า ก็จะทำให้คนเหล่านี้ขาดความเห็นใจ
ต่อสิ่งต่างๆ และเมื่อเคยชิน ก็จะขยายพฤติกรรมต่อไป
ที่มนุษย์ด้วยกันในที่สุด
…นี่คือลักษณะที่พบได้บ่อยมาก ในฆาตกรต่อเนื่อง ….
ส่วนในคนที่ควบคุมสิ่งต่างๆรอบตัวได้
มักมีพฤติกรรมรักสัตว์ เราจึงเห็นบ่อยๆ
ว่าคนประสบความสำเร็จ มักมีสัตว์เลี้ยงเสมอ
ดังนั้นในหลายประเทศ ผู้ที่ต้องคดีทรมานสัตว์
จึงมักอยู่ในแบล็คลิสต์บุคคลอันตราย
และถูกเพ่งเล็งเสมอ เมื่อมีคดีฆาตกรรมในย่านที่มี
คนเหล่านี้พักอาศัยอยู่
ข้อมูลเหล่านี้ บอกเราว่า คนที่ชอบทรมานสัตว์นั้น
ไม่เพียงเป็นอันตรายต่อสัตว์เท่านั้น
แต่พวกเขายังอันตรายต่อคนด้วย
กฎหมายการคุ้มครองสัตว์ มันไม่ใช่มีเพื่อบังคับให้คนมีเมตตา
แต่มันหมายถึงการป้องปรามบุคคลเหล่านี้
ไม่ให้มีภัยต่อมนุษย์ในอนาคต
ผู้ชอบทรมานนั้น มีพฤติกรรมชอบควบคุม
และจะอันตรายมาก สำหรับผู้หญิงและเด็กที่อ่อนแอ
หรือปกป้องตัวเองไม่ได้
นี่คือที่มาที่ไปของกฎหมาย
ซึ่งบังคับใช้กันจนแทบเป็นสากลไปแล้ว ในโลกปัจจุบัน
( ของรัสเซียนี่แรงนะ ซึ่งไม่แปลก เพราะปูตินชอบหมามาก )
บางคนอาจแย้งว่า เราก็กินเนื้อสัตว์ ยังจะกล้าพูดเหรอ
ต้องเข้าใจว่าการกินและการทรมาน หรือกระทั่งฆ่าเลยนั้น
มันแตกต่างกัน ในลักษณะของการส่งผลต่อพฤติกรรม
เช่น ผมชอบกินเนื้อวัวมาก แต่ผมคงไม่สามารถฆ่าวัวได้
หรือถึงจำเป็นต้องฆ่า ผมก็คงไม่กล้าทรมานมัน
เหมือนเราตกปลาได้ เราสามารถปล่อยให้มันดิ้นไปเรื่อยๆ
จนตายบนบกได้ แต่ในสามัญสำนึกของคนส่วนมาก
ก็มักจะทำให้มันตายเร็วที่สุด ไม่ให้ทรมาน
…ลองคิดสภาพ ใครสักคนที่นั่งยองๆ มองปลาดิ้นจนตาย
อย่างมีความสุขสิ ว่ามันน่ากลัวไหม และเรามองเขาอย่างไร…
ปัจจุบัน กฎหมายการฆ่าสัตว์เพื่อเป็นอาหารนั้น
ก็ควบคุมให้ฆ่าสัตว์อย่างรวดเร็วและทรมานน้อยที่สุด
…การส่งออกเนื้อสัตว์จะทำไม่ได้เลย ถ้าฆ่ามันอย่างทรมาน
ประเทศปลายทางมักไม่รับซื้อ เพราะกฎหมายแบบเดียวกัน…
แต่มีข้อยกเว้นให้บ้าง สำหรับบางค่านิยมทางศาสนา
หรือพิธีกรรมบางอย่างเท่านั้น ( บังคับเชือดให้ร้อง หลั่งโลหิต)
แต่ก็จำกัดมากๆแล้ว
…ไก่ในปัจจุบันหลับตาย สัตว์ใหญ่ใช้ไฟฟ้าตรงเข้าสู่สมอง
ซึ่งทรมานน้อยกว่าการเชือด มันจึงเทียบไม่ได้ กับการทรมาน
…และอย่างน้อย คนมีอาชีพเหล่านี้ เขาก็ไม่ใช่ว่ามีความสุข
กับการเห็นสัตว์ทรมานจนตาย…
แม้การที่คนรักสัตว์ ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นคนดี
แต่มันก็เสี่ยงกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกันน้อยกว่า
กฎหมายที่ใช้อยู่ มันจึงไม่ได้เวอร์ และสมเหตุผล
การลงโทษสัตว์ เป็นสิ่งที่ทำได้
แต่ต้องไม่ใช่การทรมานพวกมัน
…ที่จริงแล้ว สัตว์อาจทำผิดในสายตาเรา
แต่นั่นเพราะมันไม่รู้ และทำตามสัญชาตญาณ
เมื่อเราเลี้ยงมันเอง เราก็ต้องยอมรับในข้อนี้ได้แต่แรก
และลงโทษอย่างเหมาะสม เพื่อควบคุมบางส่วน…
…เป็นคนต่างหาก ที่มีสมองรู้ผิดชอบชั่วดี แต่ยังทำผิด
ที่สมควรจะต้องถูกลงโทษ ….
กฎหมายจึงมีเหตุผลของมัน ไม่ใช่ดัดจริต อย่างบางคนว่า….
บางทีก็อยากถามนะ กับคนที่ตั้งคำถามถึงกฎหมายนี้
ว่าอยากมีไหม เพื่อน ลูก เมีย ที่ชอบทรมานสัตว์น่ะ
ถ้าอยากมี ผมว่าก็คงโรคจิตพอกัน ก็ตามใจท่านล่ะ
แต่สำหรับผม ให้สวยขนาดไหน ก็ไม่เอามาทำเมียหรอก
…กลัวหลับๆ เขาจะเชือดเอา ….
2
โฆษณา