18 มิ.ย. 2024 เวลา 06:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

YLG มองแนวโน้มราคาทองปี 68 มีโอกาสขยับแตะ 4.6 หมื่นบาท แนะจัดพอร์ตถือ 5-15%

YLG มองแนวโน้มราคาทอง 3-5 ปี ยังเป็นขาขึ้น คาดปี 68 มีโอกาสแตะ 4.6 หมื่นบาท หลังพักฐานทำกำไร ชี้ปัจจัยหลักจากการเข้าซื้อของธนาคารกลางต่อเนื่องปีละ 1 พันตัน และแรงหนุนจากการเข้าถือทองคำของกองทุน ETF แนะจัดพอร์ตถือทอง 5-15% เพิ่มผลตอบแทนพอร์ต
1
วันนี้ ( 17 มิ.ย.67 ) คุณฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส ( YLG ) กล่าวในงานสัมมนา หัวข้อ Discover new opportunities : ลงทุนสินทรัพย์ทางเลือก ซึ่งจัดโดย หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ณ หอประชุมศาสตราจารย์สังเวียน อินทรวิชัย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่าทิศทางราคาทองคำยังเป็นขาขึ้น ปัจจัยหลักมาจาก
1.การที่ธนาคารกลางต่างเทขายเงินดอลลาร์ หันมาถือทองคำเป็นทุนสำรอง ฯ โดยเฉพาะธนาคารกลางในฝั่งเอเซีย 3 ประเทศหลัก คือ จีน อินเดีย รัสเซีย ที่กระจายพอร์ตทุนสำรองโดยลดการถือครองดอลลาร์ และมาซื้อทองอย่างต่อเนื่อง
" แม้สัปดาห์ที่ผ่านมา ประเทศจีนประกาศจะหยุดซื้อทอง หลังจากที่ซื้อติดต่อมา 18 เดือน และจากเมื่อ 5-6 ปี จีนถือทองแค่ 2% ของทุนสำรอง แต่วันนี้จีนถือ 2,200 ตัน หรือประมาณ 4.7-4.8% ของทุนสำรอง และเชื่อว่าแนวโน้มจีนยังทะยอยขายเงินดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นการกระจายพอร์ตทุนสำรอง ฯ "
ข้อมูลรีเสริชจากธนาคารซิตี้แบงก์ ระบุว่าภาพรวมดีมานด์และซัพพลายทองคำ พบว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาธนาคารกลางได้เข้าซื้อทองเพิ่มขึ้นในระดับ 1,000 ตันต่อปี เมื่อบวกความต้องการซื้อของกลุ่มจิวเวลลี่ กองทุนอีทีเอฟ (ETF) ดีมานด์ทองคำ จะใกล้เคียงกับซัพพลายทองคำที่ตกปีละประมาณ 4,000 ตันต่อปี ดังนั้นหากการสำรองทองคำของธนาคารกลางปรับเพิ่มขึ้นหรือเป็น 2,000 ตันต่อปี มองมีโอกาสผลักดันให้ราคาทองมีโอกาสขยับขึ้น 3,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์
2.ปัจจัยจากกองทุนอีทีเอฟ ปัจจุบันถือครองทองคำอยู่ในระดับต่ำสุด เนื่องจากก่อนหน้านี้การลงทุนในพันธบัตรสหรัฐให้ผลตอบแทนสูงกว่า จึงเกิดการเทขายทองคำออก ดังนั้นจึงมีแนวโน้มสูงที่กองทุนอีทีเอฟ จะกลับเข้ามาถือทองคำเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ดี ยังต้องจับตาการเลือกตั้งประธานาธิบดี ที่จะมีถึงในเดือนพฤศจิกายนปีนี้ ว่าใครจะเป็นประธานาธิบดีคนต่อไป ระหว่างทรัมป์ กับไบเดน ซึ่งจะมีผลต่อการกำหนดนโยบายการเงิน และนโยบายการค้า โดยหากเป็น"ทรัมป์ "ก็อาจส่งผลให้ราคาทองคำในระยะต่อไปผันผวน
" ปีนี้ต้องถือว่าราคาทองในประเทศพุ่งขึ้นร้อนแรง 20% โดยเป็นผลจากบาทอ่อนค่าหนุนราคาปรับขึ้นราว 6-7% ขณะที่ราคาทองต่างประเทศปรับขึ้น 14-15% ดังนั้นจึงอาจเห็นการขายทำกำไร แต่ภาพใหญ่จากนี้ช่วง 3-5 ปี ยังมองเป็นการทยอยปรับขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจทั่วโลกยังไม่ดีขึ้นนัก การถือทองคำจึงเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย และเป็นการกระจายความเสี่ยง "
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร วายแอลจี กล่าวว่าในระยะสั้น คาดว่าแรงเทขายทำกำไรทำให้ราคาทองอาจย่อพักฐาน อยู่บริเวณแนวรับที่ 2,277 -2,228 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือเป็นราคาทองในประเทศแนวรับ 39,500-38,700 บาท (จากจุดสูงสุดในปีนี้ 2,450 ดอลลาร์สหรัฐ ฯ) และในปี 2568 มองว่าราคาแนวต้านที่โอกาสกลับไปทดสอบที่ 2,500 และ 2,650 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือประมาณบาทละ 46,000 บาท
ส่วนกลยุทธ์การลงทุนทองคำ ยังคงแนะนำซึ่งอ้างอิงข้อมูลจากสมาพันธ์ทองคำโลก (WJC) ว่าพอร์ตการลงทุนที่ดี ควรมีสัดส่วนการถือในทองคำประมาณ 5-15% เพราะสร้างผลตอบแทนที่ดี เสถียรภาพของพอร์ต และยังเป็นการกระจายความเสี่ยง
โฆษณา