2 ก.ค. 2024 เวลา 02:30 • หุ้น & เศรษฐกิจ

จีนเป็นผู้นำในการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานยั่งยืนจริงหรือไม่

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ประเทศจีนได้ลงทุนอย่างมากในอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด จนทำให้อัตราการผลิตพลังงานสะอาดของจีนสูงกว่าหลายประเทศทั่วโลก นี่ทำให้หลายคนมองว่าจีนได้กลายเป็นผู้นำในด้านการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานยั่งยืน อย่างไรก็ตาม มุมมองนี้ยังมีข้อโต้แย้งบางประเด็นและในบทความนี้ เราจะไปดูกันว่าประเด็นเหล่านั้นคืออะไร
ในด้านการผลิตพลังงานหมุนเวียนนั้น พูดได้ว่าประเทศจีนเป็นผู้นำอย่างแท้จริง อย่างในปัจจุบัน กำลังการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ (solar energy) ของจีนก็ครองกว่า 80% ของการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ทั่วโลกแล้ว อันที่จริงแล้ว การผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ของจีนสูงกว่าประเทศใหญ่ๆ อย่างสหรัฐฯ และ สหภาพยุโรป มาตั้งแต่ปี 2013 และ 2017 ตามลำดับ แล้ว (แผนภูมิ 1)
ซึ่งอัตราการผลิตพลังงานหมุนเวียนของจีนที่เยอะนั้น มีส่วนช่วยให้ราคาพลังงานเหล่านี้ลดลงมาทั่วโลกและทำให้ประเทศรายได้น้อยมีโอกาสเข้าถึงพลังงานหมุนเวียนได้มากขึ้นด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น จีนยังเป็นผู้นำในการผลิตพลังงานสะอาดชนิดอื่นๆ โดยเฉพาะพลังงานนิวเคลียร์ จากรายงานของ Information Technology & Innovation Foundation จีนมีโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ที่กำลังก่อสร้างอยู่ 27 แห่ง ซึ่งน่าจะก่อสร้างเสร็จภายในอีก 7 ปี ข้างหน้า
นี่ถือเป็นแผนการก่อสร้างที่เร็วกว่าหลายประเทศทั่วโลก นอกจากนี้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องของรัฐบาลก็มีส่วนช่วยให้เทคโนโลยีการผลิตพลังงานนิวเคลียร์ของจีนนั้นก้าวหน้ากว่าหลายประเทศ ซึ่งบทความใน Investing.com ชี้ไว้ว่าเทคโนโลยีการผลิตพลังงานนิวเคลียร์ของจีนนั้น น่าจะนำหน้าสหรัฐฯ อยู่ถึง 15 ปีเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม แม้จะทำได้ดีในการผลิตพลังงานสะอาด จีนก็ยังคงเป็นประเทศที่มีการปล่อยมลพิษมากที่สุดในโลก โดยจีนยังคงพึ่งพาพลังงานจากถ่านหินค่อนข้างสูง ยิ่งในช่วงที่เกิดสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนแล้วนั้น พลังงานถ่านหินก็ยิ่งเป็นที่ต้องการในจีน เพราะสงครามทำให้ราคาพลังงานทางเลือกอื่นๆ
เช่น พลังงานจากก๊าซธรรมชาติ หรือ พลังงานจากน้ำ แพงขึ้นมาก โดยในปี 2021 จีนถูกจัดเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุดในโลก ซึ่งการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของจีนมีสัดส่วนถึง 30% ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลก (ข้อมูลจาก Global Carbon Atlas)
นอกจากนี้ พลังงานสะอาดที่ถูกผลิตในจีน ยังดูไม่เพียงพอต่อความต้องการในประเทศอีกด้วย อย่างการผลิตพลังงานนิวเคลียร์ก็ยังถูกจำกัดโดยปัญหาด้านการขนส่ง กฎหมาย พื้นที่ในการสร้างโรงไฟฟ้า และ ความปลอดภัย แถมบทวิเคราะห์ของ RenewEconomy ก็มองไว้ว่าอัตราการผลิตพลังงานสะอาดทั้งหมดของจีนรวมกัน ไม่ว่าจะเป็น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม หรือ พลังงานนิวเคลียร์ ก็ยังไม่น่าจะเทียบเท่าการผลิตพลังงานถ่านหินจนกว่าจะถึงปี 2035
และแม้อัตราการผลิตพลังงานสะอาดจะเทียบเท่ากับการผลิตพลังงานถ่ายหินได้แล้ว ก็ยังมีโอกาสที่จะไม่เพียงพอต่อความต้องการพลังงานในประเทศที่สูงขึ้นเรื่อยๆ  นี่แปลว่าหนทางของจีนในการลดการปล่อยมลพิษนั้นยังคงอีกยาวไกล
โดยสรุปแล้ว ประเทศจีนอาจเป็นผู้นำในด้านการผลิตพลังงานสะอาด แต่ก็ยังเป็นผู้ตามในด้านการลดการปล่อยมลพิษ ดังนั้นคำตอบว่าจีนจะเป็นผู้นำในการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดได้ไหมจึงยังคลุมเครือ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เรารู้ก็คือ หากจีนสามารถหาหนทางในการลดการปล่อยมลพิษลงได้ ประเทศคงเป็นตัวเต็งในการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดอย่างแน่นอน
Sources:
โฆษณา