23 ก.ค. 2024 เวลา 07:41 • สุขภาพ

อัปเดตสายพันธุ์ "โควิด" ของไทยในรอบ 6 เดือน

เมื่อวันที่ 23 ก.ค. นพ.ยงยศ ธรรมวุฒิ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า สถานการณ์สายพันธุ์โควิด 19 ทั่วโลกจากฐานข้อมูลกลาง GISAID พบสายพันธุ์ JN.1* มากที่สุด 47.1% มีอัตราการพบที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ KP.2* และ KP.3* พบสัดส่วน 22.7% และ 22.4% ตามลำดับ มีอัตราการพบที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทั้งสองสายพันธุ์นี้ เป็นสายพันธุ์ที่องค์การอนามัยโลกกำหนดให้เป็นกลุ่มที่ต้องจับตามอง ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2567 เป็นต้นมา
สำหรับประเทศไทย สายพันธุ์ JN.1* มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น และได้กลายเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดในปัจจุบัน โดยเป็นสายพันธุ์ย่อยของ BA.2.86 ซึ่งกลายพันธุ์เพิ่มเติมบนโปรตีนส่วนหนามตำแหน่ง L455S และ F456L ช่วยเพิ่มความสามารถในการหลบภูมิคุ้มกันอย่างมีนัยสำคัญ
ทั่วโลกมีรายงานพบสายพันธุ์ JN.1* จำนวน 181,628 ราย จาก 115 ประเทศ (อ้างอิงข้อมูล CoV-spectrum ณ วันที่ 1 กรกฎาคม 2567) ขณะที่ไทยพบสายพันธุ์ JN.1* จำนวนทั้งหมด 716 ราย คิดเป็นสัดส่วนสะสม 41.10% ของสายพันธุ์ทั้งหมดที่พบในไทย นับตั้งแต่การพบครั้งแรก เมื่อตุลาคม 2566
ข้อมูลการถอดรหัสพันธุกรรมเชื้อก่อโรคโควิด 19 จากห้องปฏิบัติการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข ในรอบ 30 วัน ระหว่างวันที่ 24 พฤษภาคม - 26 มิถุนายน 2567 จำนวน 182 ราย พบ
สายพันธุ์ JN.1* จำนวน 110 ราย คิดเป็นสัดส่วน 60.4% สายพันธุ์ KP.2* และ KP.3* (สายพันธุ์ย่อย JN.1.11.1*) จำนวน 37 ราย และ 22 ราย คิดเป็นสัดส่วน 20.3% และ 12.1% ตามลำดับ และพบสายพันธุ์ JN.1.7* และ JN.1.18* จำนวนสายพันธุ์ละ 2 ราย คิดเป็นสัดส่วน 1.1%
นอกจากนี้ ข้อมูลจากห้องปฏิบัติการในรอบ 6 เดือน (เดือนมกราคม - มิถุนายน 2567) แสดงให้เห็นว่าสายพันธุ์ JN.1* เป็นสายพันธุ์หลัก โดยสายพันธุ์ KP* (KP.1*, KP.2*, KP.3*, KP.4* และ KP.5*)  ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยของสายพันธุ์ JN.1 ที่ต้องจับตามอง พบในสัดส่วนน้อยกว่า 10%
สำหรับสายพันธุ์ EG.5* ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยของ XBB.1.9.2* พบสัดส่วนลดลงอย่างต่อเนื่อง กระทั่งเดือนพฤษภาคมถึงปัจจุบัน ไม่พบสายพันธุ์ EG.5*
โฆษณา