1 ส.ค. เวลา 14:12 • กีฬา

ทุกข์ที่สุด ≠ สุขแบบที่มี : เอ็นดริก กับการบินสูงตั้งแต่อายุ 16 ปี | Main Stand

หลายคนที่ก้าวเข้าสู่วัยทำงานและเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว มักจะเกิดวาบหนึ่งในความคิดว่า "ถ้าได้กลับไปเป็นเด็กก็คงดี" เพราะแทบไม่ต้องคิดอะไร และไม่ต้องรับผิดชอบอะไร แค่สนุกไปวัน ๆ ก็พอ
แต่สำหรับ เอ็นดริก กองหน้าดาวรุ่งคนใหม่ที่ เรอัล มาดริด คว้าตัวมาร่วมทีมในวัย 18 ปี คิดตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง ... คุณน่าจะเคยได้ยินชื่อเด็กคนนี้มาบ้าง เพราะเขาลงเล่นเกมระดับอาชีพตั้งแต่อายุ 16 ปี และติดทีมชาติชุดใหญ่ตั้งแต่อายุ 17 ปี
เรื่องฝีเท้าต้องยกให้ แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือเรื่องหัวใจที่แกร่งเยี่ยงเพชร ... นี่คือเรื่องราวของเด็กที่นับวันรอที่จะเป็นผู้ใหญ่ตั้งแต่อายุ 10 ขวบ ตั้งความฝันไว้ใหญ่โต และพยายามเดินไปหาฝันนั้นด้วยความกระหายอยากและสายตาที่ "ต้องการคว้าทุกสิ่ง"
ถ้าปูมหลังที่เข้มข้นทำให้ใครสักคนแข็งแกร่งขึ้นมาได้ เราอยากให้คุณรู้เรื่องราวของ เอ็นดริค คนนี้ ?
ติดตามที่ Main Stand
เกิดมาจน และ เกิดมาในวงการฟุตบอล
"ความฝันของพ่อคือการกัดลูกแอปเปิ้ลสักครั้ง" ดักลาส รามอส เล่าเรื่องความฝันของเขาผ่านนิทานก่อนนอนให้ลูกชายนามว่า เอ็นดริค เฟลิเป้ ในวัย 7 ขวบ ในฐานะเด็กคนหนึ่ง เขาสงสัยว่า สิ่งที่ง่ายพอ ๆ กับการปลอกกล้วยคือการกินแอปเปิ้ล ทำไมพ่อถึงทำไม่ได้ ? และความฝันนี้นำไปสู่เรื่องราวที่เป็นจุดเริ่มต้นของครอบครัวของเขาที่อยู่ในสถานะปากกัดตีนถีบนับตั้งแต่เขาจำความได้
เรื่องนี้เกิดขึ้นตอนที่ ดักลาส เป็นวัยรุ่น ... ในหนึ่งปีเขาจะได้กินของดี ๆ อย่างบาร์บีคิวเพียงครั้งเดียว นั่นคือตอนช่วงคริสต์มาส ด้วยความไม่คุ้น ความรีบ หรืออุบัติเหตุอะไรก็ช่าง สุดท้าย ดักลาส โดนไฟจากเตาบาบีคิวคลอกที่แขนอย่างหนัก ความรุนแรงที่อธิบายได้คือ เขาอาจจะต้องเสียมือข้างนั้นไป และทางเดียวที่จะยื้อได้คือการให้ยาฆ่าเชื้อชนิดรุนแรงกับเขาอย่างต่อเนื่อง
แน่นอนว่า "ความแรง" ของยานอกจากจะทำให้เขาหายแล้วยังเป็นดาบสองคม เพราะอาการข้างเคียงคือจะทำให้รากฟันของเขาอ่อนแอลงเรื่อย ๆ และสุดท้ายฟันของเขาก็ร่วงจนหมดปาก ... ดักลาส กินได้แค่ซุปเท่านั้น สำหรับอาชีพคนใช้แรงงานอย่างเขา มันอธิบายได้ง่ายมากว่าทำไมเขาจึงฝันกับเรื่องง่าย ๆ แค่การกัดแอปเปิ้ล
อ่านมาถึงตรงนี้ มันคงเป็นเรื่องง่ายมากถ้าใครจะโยนความผิดให้กับชนชั้นล่างที่ไม่วางแผนครอบครัว เพราะตัวเองยังดูแลตัวเองแทบไม่รอด การมีลูกจะทำให้ลำบากขึ้นไปอีก และที่สำคัญคือ เด็กคนหนึ่งต้องผ่านการเลี้ยงดูมาอย่างดี เพื่อให้เขากลายเป็นบุคลากรคุณภาพ ทว่ากับครอบครัวชนชั้นล่าง การดูแลที่ดีนั้นอาจจะยังดีไม่พอ เราจึงได้เห็นสภาพในชุมชนแออัดหรือบางเมืองที่บราซิล ที่เป็นเขตที่ทางรัฐบาล "ห้ามนักท่องเที่ยวผ่าน" ... แต่ทว่าสถานที่ที่คุณเกิด ไม่สำคัญเท่ากับว่าคุณโตมาอย่างไร
พ่อ-แม่ของ เอ็นดริค ทำงานในร้านอาหารตามสถานีรถไฟ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นการหาเช้ากินค่ำ พวกเขายากจน พวกเขาขาดการศึกษา และเป็นคนที่สังคมมองไม่ค่อยเห็น แต่อย่าลืมว่า สุดท้ายพวกเขาก็เป็นมนุษย์เช่นกัน พวกเขามีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจด้วยตัวเอง ในสิ่งที่ตัวเองคิดว่า ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรพ่อของเอ็นดริคผู้ยากจนก็แต่งงานกับภรรยาของเขา และกำเนิดลูกชายขึ้นมาในปี 2006 และ เอ็นดริค ก็ลืมตาดูโลก ... พวกเขาทั้งคู่ปฎิญาณต่อพระเจ้าว่าจะดูแลเด็กคนนี้ให้ดีที่สุด
แล้วพวกเขาก็ทำแบบนั้นจริง ๆ
ผมเคยไม่หิว แต่พ่อแม่ผมหิว
ฟุตบอลคือเพื่อนของเด็กชายชาวบราซิลเสมอ และ เอ็นดริค ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เขาเล่นฟุตบอลตั้งแต่อายุ 4 ขวบ โดยมีพ่อของเขาตามสนับสนุนอยู่ตลอด ที่บราซิลคุณไม่จำเป็นต้องใส่รองเท้าราคาแพง ๆ คุณก็สามารถสนุกกับฟุตบอลได้
ดักลาส ผู้เป็นพ่อใช้เวลาว่างและวันหยุดพาเอ็นดริกไปตามสนามฟุตบอลในละแวกชุมชน เพื่อให้ลูกของเขาได้เห็น และได้เจอกับคนที่เก่งกว่าเพื่อเป็นแรงบันดาลใจ โดยที่เขาก็บันทึกวีดีโอวิธีการเล่นของลูกชายไว้ตั้งแต่ยังเด็ก เพราะเจ้าตัวเองก็รู้ดีกว่าฟุตบอลเปลี่ยนชีวิตหลายครอบครัวในบราซิลมากมายเหลือเกิน
ในระหว่างทางกลับบ้าน ดักลาส ไม่ลืมที่จะให้รางวัลกับลูกชาย อาจจะไม่ใช่ของใหญ่โต เป็นพวกของกินหรือขนมแบบเด็ก ๆ แต่เขาก็รู้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเชื้อไฟที่ทำให้ เอ็นดริค ในวัยเด็กมีแรงจูงใจกับฟุตบอลมากขึ้น ไม่ใช่แค่เตะแล้วได้ความสนุกเท่านั้น เมื่อกลับถึงบ้าน ท้องของเขาก็จะอิ่ม โดยที่เขาอาจจะไม่รู้เลยว่าพ่อและแม่ของเขาจำเป็นจะต้องอดบ้างในบางมื้อ ... เรื่องแบบนี้ดำเนินไปหลายปีจนกระทั่ง เอ็นดริค รู้ความ ตั้งแต่นั้นเขาจึงมีเป้าหมายว่าอยากจะหาเงินเยอะ ๆ ให้ครอบครัวให้ได้เร็วที่สุด
2
"ถึงเราจะไม่ได้ร่ำรวย แต่ผมก็มีลูกฟุตบอลที่อยู่กับตัวตลอดเวลาจะเดินทางไปไหน ในตอนแรกมันเป็นแค่ความสนุกเท่านั้น ไม่มีใครเร่งเร้าหรือกกดดันอะไร วัยเด็กของผมมีแต่การเล่นฟุตบอลและการเรียนหนังสือนั่น นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว (เมื่อมองย้อนกลับไป) ผมขอบคุณพระเจ้าที่มอบชีวิตแบบนี้ให้ผม"
"ผมไม่เคยรู้สึกหิว แต่ผมแน่ใจว่าพ่อแม่ของผมเจอกับสิ่งนี้บ่อย พวกเขายอมอดอาหารให้ผม และนั่นทำให้มีพลังกายและพลังใจในแต่ละวัน หลายครั้งที่พ่อแม่อดเพื่อให้ผมไปต่อ จนหลายคนบอกว่าคนอย่างผมมันช่างเย็นชาเสียเหลือเกิน แต่ผมรู้ดีว่ามันเป็นอย่างไร ผมต้องมีความสุขกับสิ่งที่ดี และเดินหน้าเพื่อสิ่งที่อยากจะเป็น" เอ็นดริค ว่าแบบนั้น
การเล่นบอลด้วยความสุข และความสนุกพา เอ็นดริค มาไกลเกินคาด ตอนที่เขาอายุ 11 ปี พ่อของเขารวบรวมวีดีโอคลิปที่ถ่ายไว้ทั้งหมดส่งไปให้สโมสรต่าง ๆ ในบราซิล รวมถึงแมวมองให้ช่วยหาสโมสร เป้าหมายคือให้เขาได้มีอคาเดมี่ฝึกฟุตบอล และได้ทุนศึกษาในการเรียนไปพร้อม ๆ กัน
"ฉันออกเดินทางจาก เซา เปาโล มาที่ พัลไมรัส เป้าหมายแรกของฉันคือการทำให้ครอบครัวเราดีขึ้นให้ได้" เอ็นดริค เขียนไว้ในจดหมายบันทึกความทรงจำ
ถ้าคุณเปิดคลิป เอ็นดริค ในตอนเด็ก ๆ เล่นกับฟุตบอล คุณก็จะเข้าใจว่าทำไมทีมใหญ่ ๆ ในบราซิลจ้องเขาตาเป็นมัน เซา เปาโล ติดต่อมาเป็นทีมแรก แต่ข้อเสนอยังไม่น่าสนใจ จากนั้นก็มีทีมอย่าง ซานโต๊ส, แอตเลติโก พาราเนนเซ่ เข้ามาด้วย ทว่าสุดท้ายพวกเขาก็เลือก พัลไมรัส ด้วยเหตุผลง่าย ๆ ว่า พัลไมรัส เห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ในตัวเอ็นดริค
เหมือนกับเพชรที่รอเจียระไนให้เฉิดฉาย พัลไมรัส รู้ดีว่าจะปล่อยให้เด็กคนนี้หลุดมือไม่ได้ ดังนั้นพวกเขาไม่ได้เสนอแค่สัญญาหรือทุนเรียน แต่พวกเขายังสัญญาว่าจะช่วยดูแลครอบครัวของเขาเป็นอย่างดี เบื้องต้นคือการให้พ่อของ เอ็นดริค ลาออกจากงานเพื่อมาเป็นพนักงานภารโรงของสโมสร เพื่อให้ได้เงินมากกว่าเป็นพนักงานรับจ้างรายวัน นอกจากนี้เขายังได้อยู่ใกล้ ๆ และคอยดูแลลูกชายอย่างใกล้ชิดด้วย สุดท้ายการเซ็นสัญญากับ พัลไมรัส ก็เริ่มขึ้น
ภาพรอยยิ้มของ 2 พ่อลูก นั้นน่าประทับใจ พวกเขายิ้มกว้างราวกับรู้ว่า ณ ตอนนี้ประตูบานแรกได้เปิดขึ้นแล้ว จากนี้ต่อไปเป็นหน้าที่ของ เอ็นดริค ที่จะต้องเดินไปข้างหน้าต่อ เพื่อเปิดประตูบานต่อ ๆ ไป เพื่อไปเจอสิ่งที่พวกเขาคาดหวังในประตูบานสุดท้าย นั่นคือความสบายและความมั่งคั่งที่เขาต้องการจะตอบแทนครอบครัวที่เสียสละเพื่อเขา
มอบให้ทวีคูณ
เอ็นดริก ถือเป็นเด็กที่ทีมโค้ชเยาวชนของ พัลไมรัส รายงานส่งต่อไปยังรุ่นอายุที่สูงขึ้นเสมอ ไม่ใช่แค่ในทุก ๆ ปี บางครั้งผ่านไปไม่กี่เดือน เขาก็โดนขยับไปเล่นแบบแบกอายุกับรุ่นอายุที่สูงกว่าแล้ว
ยิ่งโตขึ้น เอ็นดริค ก็ยิ่งรู้ความหมายของชีวิต ในช่วงอายุ 13 ปี ถ้าเทียบกับบ้านเราก็เด็ก ม.1 เอ็นดริค รู้หน้าที่โดยไม่ต้องมีใครมาบอก ตื่นเช้ามาวิ่ง ออกกำลังกาย กินอาหารที่มีประโยชน์ และจากนั้นก็เชื่อฟังในสิ่งที่โค้ชสั่ง เพราะความฝันเดียวของเขายังไม่เปลี่ยนแปลง และเขาตั้งใจจะทำมันให้ได้โดยเร็วที่สุด ไม่ว่าจะเกิดอุปสรรคอะไรขวางหน้าก็ตาม
ในช่วงเวลานั้นเอง เอ็นดริค ก็พบไฟในการใช้ชีวิตอีกอย่าง นั่นคือแม่ของเขาให้กำเนิด โนอาห์ น้องชายของเขาที่ลืมตาดูโลกในวันที่เขากำลังแข่งขันนัดสำคัญพอดิบพอดี โดย เอ็นดริค เคยเขียนจดหมายไว้ถึง โนอาห์ เพื่อให้น้องชายอ่านในอนาคตว่า
"พี่อายุ 13 ปี และเล่นเกมสำคัญ นายยังไม่ออกมาดูโลกเลย เกมนั้นพ่ออยู่ข้างสนามด้วย และตอนที่พี่ยิงประตูได้ พ่อก็ได้รับโทรศัพท์และปลายสายคือเสียงร้องอุแว้ของนายนี่แหละ ... ในที่สุดนายก็ออกมาฉลองกับพี่แล้วนะน้องชาย" เอ็นดริค เขียน
1
"พี่เดินทางไปที่โรงพยาบาลกับพ่อ และตอนนั้นพี่ก็ไม่มีเงินจะซื้ออะไร แต่พี่ก็เอาลูกบอลทองคำที่เป็นรางวัลจากการแข่งขันให้กับนายเป็นของรับขวัญ ... นายรู้แล้วใช่มั้ยล่ะว่าได้ลืมตามาเป็นสมาชิกของครอบครัวที่ไม่ได้ร่ำรวย แต่นายเกิดมาในครอบครัวของนักฟุตบอล"
เอ็นดริค หมายความตามที่พูด เขาเป็นนักฟุตบอลอาชีพหลังจากนั้นไม่กี่ปี สิ่งที่โค้ชทุกคนชื่นชมคือเรื่องของการเล่นฟุตบอลด้วยความสุข ความมุ่งมั่นไปพร้อม ๆ กับจิตนาการ สถิติของ เอ็นดริค ในชุดเยาวชนคือ ลงเล่นไป 169 นัดยิงไป 165 ประตู ... อย่าลืมล่ะว่าเขาอายุ 15 ปีเท่านั้น ณ เวลาที่เก็บสถิติ
ไม่นานนักกุนซือของพัลไมรัสชุดใหญ่อย่าง อเบล แฟร์ไรร่า ก็เรียกตัว เอ็นดริค ขึ้นมาเล่นชุดใหญ่ตอนที่เขาอายุ 16 ปี 2 เดือนกับอีก 16 วัน ก่อนที่จะทำสถิติเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดที่ยิงประตูในลีกบราซิล ในวัย 16 ปี 3 เดือน กับอีก 7 วัน (อันดับ 1 คือ โตนินโญ่ 15 ปี 289 วัน ทำไว้เมื่อปี 1978) ... อะไรเกิดขึ้นหลังจากวันนั้น ? เขาก็ดังเป็นพลุแตกน่ะสิ !
อเบล แฟร์ไรร่า ชื่นชอบ เอ็นดริคมาก ๆ โดยเฉพาะเรื่องหัวจิตหัวใจ เขาให้สโมสรต่อสัญญากับนักเตะรายนี้เอาไว้ โดยให้ทุกอย่างที่เด็กคนนี้อยากจะได้ และแน่นอนว่าต้องมีค่าฉีกสัญญาเพื่อไปค้าแข้งในยุโรปซึ่งเป็นฝันของเขาด้วย ครอบครัวของ เอ็นดริค ดีขึ้นมากหลังจากวันนั้น จากบ้านในสลัม พวกเขามีเงินที่จะเช่าอพาร์ทเมนท์อยู่ และมีชีวิตการเป็นอยู่ที่ดีขึ้น อยากกินอะไรก็ได้กิน ความอดอยากแบบที่มีแต่ลูกแอปเปิ้ลลูกเดียวไม่มีอีกแล้ว
... แน่นอนว่าเขาก็ไม่ลืมที่จะรักษาฟันและทำให้พ่อของเขากลับมามีฟันได้เคี้ยวและกินอาหารที่อยากจะกินอีกครั้ง การเสียสละเพื่อลูกชายคนนี้คุ้มค่าอย่างรวดเร็ว
แม้ เอ็นดริค จะไม่ต้องให้พ่อแม่ของเขาต้องทุกข์นาน เขาตอบสนองแทนคุณอย่างทวีคูณ เขาแบก พ่อ - แม่ และน้องชายของเขาไว้บนบ่า และนั่นยังไม่พอ เขายังอยากจะไปให้สูงขึ้นอีก นั่นคือการไปเล่นในยุโรป อันถือเป็นปลายทางที่แท้จริงสำหรับยอดนักเตะชาวบราซิลในอดีต จนถึงปัจจุบัน
รอยยิ้มที่เหมือนเดิม
ค่าตัวของ เอ็นดริค ในค่าฉีกสัญญาอยู่ที่ 60 ล้านยูโร ... แต่ของดีไม่มีคำว่าแพงหลายทีมเดินหน้าเข้ามาสอบถามความเป็นไปได้ เชลซี เข้ามาก่อนทีมแรก พร้อมนำเสนอสิ่งต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นบ้าน รถ และคำแนะนำทุก ๆ อย่างเพื่อให้ครอบครัวนี้ได้ใช้ชีวิตในลอนดอนอย่างสะดวกสบาย แต่สุดท้ายดีลก็ยังไม่เกิดขึ้นเนื่องจากมีการเปลี่ยนมือเจ้าของสโมสร จนกระทั่ง เรอัล มาดริด ได้ติดต่อเข้ามา
อเบล แฟร์ไรร่า เป็นคนสำคัญมากที่นแนะนำให้เขาตัดสินใจเลือก เรอัล มาดริด สำหรับ อเบล โค้ชคนแรกของเขาไม่ใช่แค่สอนเรื่องฟุตบอลและแท็คติกเท่านั้น แต่ อเบล ยังให้แนวคิด และดูแล เอ็นดริค อย่างดีมาตลอดด้วย
"ภาพจำของ เอ็นดริค ชัดเหมือนกับเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ เขาเป็นเด็กที่ยิงประตูสำคัญให้กับทีมของเรา และผมมั่นใจว่าเด็กคนนี้ผ่านบททดสอบทั้งในสนามและในชีวิตที่แข็งแกร่งมาไม่น้อย" แฟร์ไรร่า กล่าว
"สิ่งเดียวที่ผมขอกับเขาเสมอ คือผมขอให้เขาอย่าได้สูญเสียรอยยิ้มที่มีเด็ดขาด เขาอาจจะล้มเหลว หรืออาจจะประสบความสำเร็จหลังจากนี้ เขาต้องใจเย็น ๆ และไม่ลืมว่าเส้นทางอนาคตยังอีกยาวไกลมาก ๆ พวกเราทุกคนพยายามช่วยเหลือเขาเท่าที่จะทำได้"
"เขาต้องใจเย็น ต้องปล่อยผ่านเสียงวิจารณ์ แรงกดดันมหาศาลกำลังจะเกิดขึ้นกับเขา ผู้คนจะคิดว่าเขายิงเกมละ 5 ประตู แต่นั่นแหละคือสิ่งที่เขาต้องรับมือและต้องพยายามทำด้วยตัวเอง เขาจะทำได้ เขาจะยิงประตูสำคัญ ตราบใดที่เขาใจเย็นและยังจำรอยยิ้มแห่งความสุขนี้ได้ รอยยิ้มแบบเด็กน้อยที่เพิ่งได้ไปดิสนี่ย์แลนด์ครั้งแรก"
เอ็นดริค และพ่อของเขายิ้ม ... ร้องไห้ในวันที่เปิดตัวกับ เรอัล มาดริด เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ความพยายามแรมปีของทั้งครอบครัว ถูกสานต่อด้วยลูกชายที่มีทั้งพรสวรรค์ ความอดทน และพรแสวง ณ ตอนนี้ เรอัล มาดริด คือหนังสือเล่มใหม่ที่เขาจะต้องเรียนรู้ ไม่ว่าจะเรื่องฟุตบอลหรือเรื่องชีวิตก็ตาม
จดหมายที่ เอ็นดริค เขียนถึงน้องชายในวัย 4 ขวบ ถือเป็นสิ่งที่บันทึกเรื่องราวต่าง ๆ มากมายของครอบครัวนี้ได้เป็นอย่างดี หลายข้อความในจดหมายฉบับนี้บ่งบอกถึงทัศนคติที่ใหญ่เกินอายุของเขา ไม่ว่าจะเรื่องของการรับผิดชอบ ความมุ่งมั่น และการโฟกัสที่ไม่หลุดนอกเส้นทาง แน่นอนมันรวมถึงความรักที่เกิดขึ้นในครอบครัวที่เริ่มต้นแบบไม่สมบูรณ์ครอบครัวนี้ด้วย
"น้องชายเอ๋ย ตอนพี่อายุ 15 ปี พี่พูดได้เต็มปากเลยว่า พี่ได้ทุกอย่างที่พี่ต้องการแล้ว พี่ซื้อบ้านให้แม่ได้ พี่พายายออกจากการอาศัยในพื้นที่อันตราย พี่นั่งคุยกับพ่อบนโซฟา และพ่อบอกกับพี่ว่าพี่ทำสำเร็จแล้ว พี่ทำให้ครอบครัวดีขึ้นได้จริง ๆ"
"ตอนที่นายยังเป็นทารก นายจะโตมาแตกต่างกับพี่เป็นอย่างมาก แต่ไม่ต้องกลัว ชีวิตมันจะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ในทุก ๆ ปีนั่นแหละ ... อีกไม่กี่เดือนพี่จะต้องย้ายไปที่ สเปน กับ เรอัล มาดริด เป้าหมายที่พี่ไม่กล้าแม้จะเขียนลงในบันทึกฉบับนี้"
"ครอบครัวของเราได้ไล่ตามความฝันในการเป็นนักฟุตบอลมาแล้ว 3 ชั่วอายุคน แต่สำหรับนาย น้องพี่ นายอยากจะเป็นอะไรก็ได้ที่นายต้องการ ไม่ว่าจะหมอ หรือทนายความ หรือแม้กระทั่งนักเทนนิสเหมือนกับ คาร์ลอส อัลคาราซ ... นายใช้ชีวิตในแบบที่นายเป็น ไม่ต้องเครียดอะไรทั้งนั้น จงขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณพ่อ-แม่ และขอบคุณฟุตบอลที่พาเรามาถึงตรงนี้"
3
"สนุกกับชีวิตนะน้องชาย นี่คือประโยคที่เหมือนกับของขวัญที่พี่จะมอบให้นายล่ะ" เอ็นดริค ร่ายยาวจนบประโยค เพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาได้อะไรมาจากพ่อแม่ และเขาส่งต่ออะไรให้กับน้องชายของเขาบ้าง
ข้อความในบันทึกฉบับนี้เต็มไปด้วยคำว่า "ความสุข และความสนุก" ทั้งที่จริง ๆ แล้วชีวิตของเขาสู้กับความลำบากมาเยอะมากกว่าความสนุกหลายเท่า แต่เหนือสิ่งอื่นใด ชีวิตของเขามีโฟกัสที่เด่นชัดแน่นอน แม้ในยามทุกข์ถึงขีดสุด เขายังมองหาความสุขที่ซ่อนอยู่ในสิ่งเหล่านั้นได้
เกิดที่ไหน ไม่สำคัญเท่ากับคุณโตมาอย่างไร นี่คือเรื่องราวของ เอ็นดริค เด็กหนุ่มจากสลัมที่อาจจะหิวบ้างในบางมื้อแต่เติบโตด้วยทัศนคติที่ยอดเยี่ยมที่สุด
ในวัย 18 ปี ... โลกกำลังจะได้เห็นรอยยิ้มบนผืนหญ้าของเขาชัดขึ้นที่ เรอัล มาดริด เรามาคอยดูกันว่าการดีดตัวของเขาจากวันลืมตาดูโลก จะส่งเขาไปได้ไกลขนาดไหนกันแน่
บทความโดย ชยันธร ใจมูล
1
แหล่งอ้างอิง
โฆษณา