ทิม วอลซ์ คู่ชิงรองประธานาธิบดีสหรัฐฯกับความสัมพันธ์จีน - Blockdit Originals โดยดร.อาร์ม ตั้งนิรันดร
ตอนนี้กำลังเป็นช่วงขาขึ้นของกมลา แฮร์ริส ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรคเดโมแครต การประชุมใหญ่พรรคเดโมแครตที่เพิ่งผ่านไปถือว่าประสบความสำเร็จราบรื่นสวยงาม
หลายคนยังไม่ค่อยรู้จักคู่หูชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีของเธอที่ชื่อทิม วอลซ์ ผู้ว่าการรัฐมินเนโซตา ซึ่งเป็นรัฐชนบท แฮรร์ริสเลือกทิม เพราะน่าจะช่วยเธอกวาดคะแนนฐานเสียงคนขาวในรัฐชนบท ซึ่งเป็นฐานเสียงเดิมของทรัมป์ได้
แต่ตัวทิมมีความน่าสนใจอีกอย่างคือ เขาเคยมีประสบการณ์ยาวนานในประเทศจีน ในปี ค.ศ. 1989 ทิมเข้าร่วมโครงการอาสาสมัครไปเป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนมัธยมในชานเมืองกวางเจา มณฑลกว่างตงอยู่ 1 ปี เต็ม เขาสามารถพูดภาษาจีนกลางและภาษาถิ่นกวางตุ้งได้
ใช่แล้วครับ ปี ค.ศ. 1989 เป็นปีที่เกิดเหตุการณ์ประท้วงและสลายการชุมนุมที่เทียนอันเหมินอันลือลั่น และเป็นปีเดียวกับที่ทิมใช้ชีวิตในจีน
ต่อมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1994 -2008 ทิมได้ตั้งบริษัทจัดพานักเรียนมัธยมของสหรัฐฯ ไปแลกเปลี่ยนที่เมืองจีนต่อเนื่องหลายปี ก่อนที่เขาจะลงเล่นการเมืองจากการสมัครเป็นสมาชิกสภาคอนเกรสของสหรัฐฯ
เขาได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาคอนเกรสจากรัฐมินเนโซตาในปี ค.ศ. 2006 และได้รับแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการของคอนเกรสที่ดูแลเรื่องนโนบายต่อจีน
หากเราย้อนไปดูจุดยืนของทิมเกี่ยวกับจีน จะเห็นว่าเขาเน้นย้ำเรื่องการให้ความสำคัญกับปัญหาสิทธิมนุษยชนในจีนตามสไตล์ของพรรคเดโมแครตที่เน้นอุดมการณ์เสรีนิยม
ทิมได้เคยพบกับดาไล ลามะ ผู้นำทางจิตวิญญาณของธิเบต และโจชัว หว่อง ผู้นำการประท้วงเยาวชนในฮ่องกง ทั้งสองคนต่างเป็นเป้าของรัฐบาลจีน
ในเรื่องเศรษฐกิจ ทิมเป็นคนแรกๆ ที่เรียกร้องให้สหรัฐฯ มีนโยบายปกป้องภาคอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดจากอุตสาหกรรมจีน โดยเขาเรียกร้องเรื่องนี้มาตั้งแต่สมัยรัฐบาลโอบามา
ขณะเดียวกันในรัฐบาลทรัมป์ ทิมคัดค้านสงครามการค้า เพราะรัฐมินเนโซตาเป็นผู้ผลิตเนื้อหมูส่งออกไปจีน และได้รับผลกระทบจากการตั้งกำแพงภาษีตอบโต้กันไปมาระหว่างจีนและสหรัฐฯ
สาเหตุหลักที่กมลา แฮร์ริส เลือกทิม วอลซ์เป็นผู้สมัครรองประธานาธิบดี คงไม่เกี่ยวกับที่ทิมมีประสบการณ์เรื่องจีน แต่เป็นเหตุผลต้องการฐานเสียงคนในรัฐชนบทและคนผิวขาว รวมทั้งมีรายงานว่าจากการสัมภาษณ์ตัวเลือกหลายคน เธอรู้สึกว่าเคมีเธอเข้าขากับทิมมากที่สุด
พรรครีพับลิกันเริ่มโจมตีทิมว่าเป็นมิตรกับจีน และไม่เคยมองว่าจีนเป็นภัยคุกคาม แต่จริงๆ จากประวัติของทิม จะเห็นว่าเขามีจุดยืนที่ค่อนข้างชัดเจนในการวิพากษ์จีนเรื่องสิทธิมนุษยชน สอดคล้องกับนโยบายการต่างประเทศของเดโมแครต ซึ่งเน้นการทูตเชิงคุณค่า
ในขณะเดียวกัน ประสบการณ์การแลกเปลี่ยนกับจีนของทิม โดยเฉพาะการที่เขาอยู่เมืองจีนในช่วงปีที่เกิดเหตุการณ์เทียนอันเหมิน ก็สะท้อนการให้ความสำคัญกับการทูตระหว่างประชาชน (people to people diplomacy) ซึ่งตอนนี้เป็นนโยบายสำคัญของทั้งสองประเทศว่า ถึงแม้ในระดับผู้นำจะผิดใจกันและคุยกันไม่รู้เรื่อง แต่ก็ยังอยากให้การแลกเปลี่ยนระหว่างเยาวชนและนักศึกษาดำเนินต่อไป
คนจีนหลายคนมองประสบการณ์จีนของทิมในแง่บวก เพราะมองว่าทำให้ทิมเข้าใจบริบทวัฒนธรรมและข้อจำกัดของจีน รวมทั้งตระหนักเส้นแดงของจีนในเรื่องไต้หวัน หลายคนมองว่าคนที่เคยมีประสบการณ์ที่จีน โดยเฉพาะการใช้ชีวิตในระดับรากหญ้าที่มีความสัมพันธ์กับคนจีนจริงๆ ย่อมยากมากที่จะเป็นคนที่กระหายความขัดแย้งหรือสงครามกับจีน
หากแฮร์ริสชนะการเลือกตั้ง ทิมจึงอาจกลายเป็น Good Cop เล่นบทบาทสลับกับ Bad Cop คนอื่นๆ ต่อจีนในรัฐบาล แต่ในขณะเดียวกัน ก็คงไม่สามารถหวังว่าทิมจะกลับมาฟื้นความสัมพันธ์จีนสหรัฐฯ ให้หวานชื่น เพราะจุดยืนที่ผ่านมาของทิมต่อประเด็นจีนก็เป็นจุดยืนที่แข็งกร้าวในเรื่องสิทธิมนุษยชนในแนวทางเดียวกับพรรคเดโมแครตกระแสหลัก
เกร็ดการเมืองสหรัฐฯ ก็คือทิมจะเป็นผู้นำระดับสูงคนที่สองในทำเนียบประธานาธิบดีที่มีประสบการณ์ยาวนานเกี่ยวกับจีน อีกคนก่อนหน้านี้คือ จอร์จบุชผู้พ่อ ซึ่งเป็นรองประธานาธิบดีในสมัยรัฐบาลเรแกน และต่อมาเป็นประธานาธิบดี (และต่อมายังเป็นพ่อประธานาธิบดีอีกด้วย)
บุชผู้พ่อเคยเป็นตัวแทนรัฐบาลสหรัฐฯ ในเมืองจีนในช่วง ค.ศ. 1974-1975 และอาศัยอยู่ที่จีน 15 เดือน ก่อนที่จะได้รับเลือกตั้งเป็นรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี ค.ศ. 1981 และประธานาธิบดีในปี ค.ศ. 1989
หากทิมเองได้รับการเลือกตั้งเป็นรองประธานาธิบดี เขาย่อมมีบทบาทและความเข้าใจเรื่องจีนที่พิเศษกว่าคนอื่นจากประสบการณ์ที่จีนของตัวเอง และแม้ความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ อาจไม่สามารถกลับไปจุดที่หวานชื่นดังในอดีต แต่คงไม่ดิ่งเหวไปมากกว่านี้
- 41
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2024 Blockdit
