29 ส.ค. เวลา 03:30 • กีฬา

ดับแล้วจริงหรือ ? : กำแพงพรีเมียร์ลีกและเหตุผลย้ายทีมของ "จู๊ด เบลล์" | Main Stand

จู๊ด ซุ่นทรัพย์ เบล ในช่วงวัยทีนเอจ คือหนึ่งยอดดาวรุ่งที่น่าจับตามองของวงการฟุตบอลอังกฤษ และถูกมองว่าจะติดทีม "ทรีไลอ้อนส์" ชุดใหญ่ในอนาคต
แน่นอนว่า ณ เวลานั้นคนไทยแทบจะเลิกหวังไปแล้ว กับการเปลี่ยนใจให้แข้งลูกครึ่งรายนี้มาสวมเสื้อ "ช้างศึก" เพียงแต่ว่าเมื่อเวลาผ่านไป อะไรหลายอย่างก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนแปลง
จาก เชลซี สู่ สเปอร์ส จาก สเปอร์ส สู่ คอร์โดบา ทีมในดิวิชั่น 2 ของสเปน ... ดูเหมือนว่าขนาดทีมจะเล็กลงเรื่อย ๆ ทำไมหนึ่งในตัวท็อปของรุ่นถึงเป็นแบบนั้น ?
ติดตามเรื่องราวได้ที่ Main Stand
0.012%
0.012% คือตัวเลขที่เคยเป็นที่ฮือฮาเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ มาร์คัส แรชฟอร์ด โพสต์บนอินสตาแกรมของเขา เพื่อบอกว่าเขาเป็นนักเตะดาวรุ่งจากอคาเดมี่ของสโมสรในพรีเมียร์ลีกเพียง 0.012% ที่ก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ได้สำเร็จ
ในทางกลับกันนั่นหมายความว่า เกือบ 100% ที่ไม่สามารถไปถึงระดับลีกสูงสุด และต้องถอยไปตั้งหลักในลีกที่เล็กกว่า ดิวิชั่นที่ต่ำหว่า หรือไม่ก็ออกจากวงการไปทำอาชีพอื่น ... จู๊ด เบลล์ เป็นหนึ่งในนั้น เพียงแต่ว่าเหตุผลในการถอยหลังของเขาอาจจะไม่ได้แย่อย่างที่ใครหลายคนคิด
เหตุผลประการแรกที่เขาต้องถอย อาจไม่ได้หมายความว่าเขาไม่เก่ง เพียงแต่เขาอาจจะยังไม่ดีพอ ณ เวลานี้ สำหรับการเล่นให้ทีมชุดใหญ่ของ สเปอร์ส ที่เป็นทีมระดับลุ้นท็อป 4 ของลีกที่มีความเข้มข้นสูงสุดของโลกลีกหนึ่งอย่าง พรีเมียร์ลีก
คุณไม่สามารถโกหกตัวเองได้ว่า พรีเมียร์ลีก ณ ตอนนี้ เป็นเวทีของนักเตะระดับนานาชาติ ทุกทีม ย้ำว่า "ทุกทีม" ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ล้วนมองไปที่การคว้าตัวนักเตะต่างชาติฝีเท้าดีเข้ามาสู่ทีมเป็นลำดับแรก ไม่ว่าจะด้วยเรื่องค่าตัวที่ถูกกว่านักเตะอังกฤษซึ่งกลายเป็นสินค้าราคาแพง เพราะมี "ค่าสัญชาติ" มาเป็นตัวบวก แถมยังมีศักยภาพฝีเท้าที่สูงกว่า รวมไปถึงวิธีการเล่นของนักเตะจากชาติระดับแถวหน้าในยุโรปอื่น ๆ มีความเป็นฟุตบอลสมัยใหม่มากกว่า
อย่าลืมว่า พรีเมียร์ลีก เป็นลีกที่มีเงินหมุนเวียนมากที่สุดในโลก และพวกเขาก็เป็นลีกที่ให้ความสำคัญในเชิงพาณิชย์มากที่สุด ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกจึงมีความเอนเตอร์เทนเป็นที่ตั้ง ไม่ว่าจะรูปแบบการเล่น รวมถึงการรวมตัวนักเตะแถวหน้าของโลกมาไว้ที่นี่ ถ้าเป็นภาพยนตร์ก็ต้องบอกว่าไม่ใช่หนังอาร์ตขายศิลปะ แต่เป็นหนังแมสที่ขายดารา และความเข้าใจง่าย ๆ ของเนื้อหา
ดังนั้นเอง เมื่อดาราเป็นหนึ่งในความเอ็นเตอร์เทน นักเตะจากท้องถิ่นจึงกลายเป็นเพียงส่วนประกอบในฐานะนักเตะโควต้าโฮมโกรว์น เพื่อให้สโมสรลงทะเบียนตามกฎของพรีเมียร์ลีกเท่านั้น น้อยคนมากที่จะก้าวขึ้นมาและเป็นกำลังหลักของทีมเหมือนกับ ฟิล โฟเด้น, มาร์คัส แรชฟอร์ด, ค็อบบี้ ไมนู และคนอื่น ๆ อีกจำนวนเพียงหยิบมือ
จะเห็นได้ว่าระดับหัวกะทิเท่านั้นที่จะเล่นในเกมระดับสูง และเบียดนักเตะต่างชาติค่าตัวแพง ๆ ได้ ... ส่วนที่ยังไม่ถึงระดับหัวกะทิอย่าง จู๊ด เบลล์ ก็ต้องรอโอกาสอย่างอดทน ซึ่ง ณ ตอนนี้เขารอไม่ได้แล้วด้วยเหตุผลบางประการที่สำคัญมาก ๆ ที่เขาต้องตัดสินใจย้ายออกจากทีมดังของอังกฤษถึง 2 ครั้ง ทั้งกับ เชลซี และ สเปอร์ส
ต้องหาที่ลง
จู๊ด เบลล์ เป็นนักเตะที่โตมากับอคาเดมี่ของ เชลซี เล่นให้กับสิงห์บลูส์มาตั้งแต่อายุ 13 ปี เริ่มจากการเป็นกองกลางและค่อย ๆ ปรับมาเป็นกองหน้า สไตล์การเล่นของเขาคือเป็นกองหน้าที่เทคนิคดี เล่นได้ 2 เท้า และจบสกอร์ได้คม เมื่อเติบโตขึ้น เขากลายเป็นกำลังสำคัญของ เชลซี ในหลากหลายรุ่นอายุ ได้สัญญาอาชีพตั้งแต่อายุ 17 ปี จนกระทั่งมาถึงช่วงที่สำคัญที่สุดและวัดศักยภาพดาวรุ่งทุก ๆ คน นั่นคือเมื่อเขาเดินทางมาถึงรุ่น ยู 21
ในรุ่น ยู 21 เป็นการแข่งขันที่มีลีกชิงแชมป์ในประเทศ และความเข้มข้นจะสูงขึ้นมาก เพราะเด็ก ๆ ที่เก่งที่สุดในแต่ละรุ่นจะถูกส่งลงสนาม เพื่อทดสอบว่าพวกเขาพร้อมสำหรับการแข่งขันที่มีความกดดันสูงขึ้น และใช้ทักษะความสามารถมากขึ้น ซึ่งย้อนกลับไป ณ ตอนนั้น จู๊ด เบลล์ เองก็ยังเป็นดาวรุ่งระดับแถวหน้าของทีม เพียงแต่ว่าเขาเลือกจะย้ายออกจากทีมหลังหมดสัญญาในปี 2023
ช่วงเวลาดังกล่าว เชลซี มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างครั้งใหญ่ ท็อดด์ โบห์ลี่ย์ และกลุ่มทุนใหม่จากสหรัฐอเมริกา ซื้อสโมสร และเข้ามาระดมเงินเป็นหลักพันล้านปอนด์เพื่อคว้านักเตะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขาเข้ามาเสริมทัพมากมาย บางคนดีพอเล่นให้ชุดใหญ่ แต่จำนวนไม่น้อยต้องมาฟักตัวกับชุดยู 21 ก่อน ซึ่งนั่นเป็นการเบียดตำแหน่งของเจ้าตัว และถูกลดลำดับความสำคัญลงมาจนกระทั่งเขาต้องเลือกย้ายไป สเปอร์ส แม้ว่าทาง เชลซี จะพยายามยื่นข้อเสนอรั้งไว้ก็ตาม
ช่วงรอยต่อระหว่าง เชลซี และ สเปอร์ส ถือเป็นช่วงเวลาที่ไม่ค่อยดีของเขานัก ในช่วงฤดูกาล 2022-23 ก่อนจะย้ายออกจาก เชลซี เจ้าตัวมีอาการบาดเจ็บอยู่ตลอด จนไม่ได้ลงเล่นมากนัก และอาจจะเป็นช่วงที่เขาต้องพบจุดสะดุดเล็ก ๆ ในด้านพัฒนาการของตัวเอง
ส่วนหนึ่งที่ เบลล์ เลือก สเปอร์ส เพราะมันเป็นโอกาสดี เพราะ สเปอร์ส เป็นทีมที่มีนักเตะโควต้าโฮมโกรว์นน้อย ต่างฝ่ายจึงเลือกกันและกันเพราะ เบลล์ ก็อยากอยู่กับทีมที่มีโอกาสขึ้นชุดใหญ่มากกว่าด้วย
แต่อย่างที่ได้กล่าวไว้ การขึ้นชั้นของนักเตะจากอคาเดมี่สู่ทีมชุดใหญ่ในพรีเมียร์ลีกมีอัตราต่ำมาก ๆ จากสถิติของ CIES Football Observatory ระบุว่า 6 ปีหลังสุด อัตราการเติบโตของนักเตะอังกฤษจากระบบอคาเดมี่ของทีมในพรีเมียร์ลีกมีแต่กราฟลงอย่างต่อเนื่อง ซึงเรื่องนี้ก็เกิดกับ เบลล์ ด้วย
เริ่มจาก สเปอร์ส มีนักเตะที่ต่อคิวก่อนเขาจำนวนไม่น้อย แถมยังเป็นเด็กที่โตมากับอคาเดมี่ของตัวเองด้วย ทั้ง ทรอย แพร์ร็อต, เดน สคาร์เล็ตต์ และ เจมี่ โดลี่ย์ ที่เล่นในตำแหน่งเดียวกัน ซึ่ง 3 คนนี้ เคยสัมผัสเกมระดับชุดใหญ่มาแล้วทั้งสิ้น ขณะที่ทีมชุดใหญ่ก็ที่เต็ม แม้จะขาย แฮร์รี่ เคน แต่ก็ยังมี ริชาร์ลิซอน, ซน ฮึง มิน, เบรนแนน จอห์นสัน, ติโม แวร์เนอร์ ขณะที่ในซีซั่นนี้ก็เสริม โดมินิค โซลันกี้ เข้ามาอีก ทำให้โอกาสของดาวรุ่ง "ทุกคน" ที่กล่าวมาถูกปิดลงไป รวมถึง จู๊ด เบลล์ ที่ได้แค่ ซ้อมกับทีมชุดใหญ่ด้วย
สำหรับ จู๊ด เบลล์ ในวัย 20 ปี นี่คือช่วงเวลาที่สำคัญมาก ๆ ของนักเตะดาวรุ่ง พวกเขาต้องหาโอกาสลงเล่นในการแข่งขันระดับซีเนียร์แล้ว เพราะพวกเขามีเวลาที่จะถูกเรียกว่าดาวรุ่งแค่ไม่กี่ปีเท่านั้น นักเตะหลายคนเลือกจะย้ายออกจากทีมไปในช่วงอายุเท่านี้เพื่อไปหาทีมระดับที่เล็กกว่าเพื่อลงเล่นต่อเนื่อง ซึ่งเป็นหนทางที่ทำให้พวกเขาได้กลับมาเล่นในระดับพรีมียร์ลีกอีกครั้งในอนาคต
ซึ่งนี่ไม่ใช่เรื่องใหม่เลยของวงการฟุตบอลอังกฤษ นักเตะรุ่นพี่ของ เบลล์ หลายคนก็เป็นแบบนั้น แฮร์รี่ วิลสัน, เมสัน เมาท์, เอ็ดดี้ เอ็นเคเทียห์, เจดอน ซานโช่, รีส์ เนลสัน และอีกมากมาย รวมถึง แฮร์รี่ เคน ด้วย คือตัวอย่างที่ต้องโยกย้ายเมื่อถึงเวลาอันสมควร
และก็ต้องบอกว่า จู๊ด เบลล์ โชคดีที่เกิดเติบโตขึ้นมาในยุคนี้ เพราะมันเป็นยุคที่นักเตะอังกฤษหลายคนไปเปิดตลาดในลีกต่างประเทศ ซึ่งทำให้หลากหลายสโมสร พร้อมจะอ้าแขนรับนักเตะดาวรุ่งอังกฤษฝีเท้าดี ๆ มีแววไปต่อ แต่ไม่มีที่ว่างให้เล่นกับทีมเก่า ซึ่งวิธีนี้มีหลายคนที่เติบโตขึ้นมาก
ออกเดินทาง ... ไม่นับว่าก้าวถอยหลัง
นักเตะจากอคาเดมี่ทีมดัง ๆ ในอังกฤษหลายคนออกเดินทางไปเล่นในต่างประเทศ เพื่อโอกาสลงเล่นที่มากกว่า แน่นอนว่าทีมที่ขนาดเล็กกว่าในยุโรปทีมอื่น ๆ มีพื้นที่ให้พวกเขาเล่น
นับตั้งแต่รุ่นของ เจดอน ซานโช่ (ดอร์ทมุนด์), มาร์คัส เอ็ดเวิร์ดส์ (สปอร์ติ้ง ลิสบอน), โนนี่ มาดูเอเก้ (พีเอสวี), เจมี่ ไบโน-กิตเท่นส์ (ดอร์ทมุนด์) และอีกหลายคน ไปเติบโตในต่างประเทศและกลับมาอังกฤษอย่างผู้ชนะ
แน่นอนว่าการที่คุณไปเล่นในเยอรมัน, สเปน, โปรตุเกส หรือ เนเธอร์แลนด์ ลีกเหล่านี้มีกำลังซื้อนักเตะน้อยกว่าพรีเมียร์ลีกมาก ดังนั้นความเข้มข้นของขุมกำลังจึงไม่มากเท่า และเปิดกว้างสำหรับนักเตะที่อายุยังน้อยที่มีศักยภาพดีพอที่จะไปต่อ และความสำเร็จของนักเตะรุ่นก่อนหน้านี้ ทำให้การออกไปเล่นในต่างแดนไม่ใช่เรื่องน่ากลัวสำหรับนักเตะอังกฤษอีกแล้ว รวมถึงรายของ จู๊ด เบลล์ ที่กำลังจะไป คอร์โดบา ด้วย
"มันเป็นเรื่องปกติมากที่นักเตะเหล่านี้เลือกจะย้ายออก พวกเขาโดนปิดกั้นโอกาสจากสตาร์ต่างชาติ ไม่ใช่พวกเขาไม่ดีพอ แต่พวกเขารอต่อไปไม่ได้ เพราะมันจะส่งผลต่อพัฒนาการของพวกเขาเอง" แดนนี่ เมอร์ฟี่ อดีตนักเตะ ลิเวอร์พูล กล่าวกับ BBC
"พวกเขารักในการเล่นฟุตบอล และพวกเขาไม่อยากจะนั่งอยู่บนม้านั่งสำรองตลอดไป หรือใช้เวลาส่วนมากกับทีมสำรอง ... พวกเขาเข้าสู่โลกยุคใหม่แล้ว ไม่กลัวที่จะเดินทางไปสู่วัฒนธรรมใหม่ ๆ พร้อมกับโอกาสในการเล่นฟุตบอลที่มากกว่าเดิม"
"การเดินทางของพวกเขาอาจจะไปสู่สโมสรที่เล็กกว่า แต่พวกเขาจะกลับมาในฐานะนักเตะที่ดีขึ้นกว่าเดิม และเปลี่ยนจากเด็กหนุ่มคนหนึ่งให้เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวด้วย ... นี่คือเส้นทางที่ผมชอบมาก และหลายครั้งพวกเขาก็ทำให้อดีตต้นสังกัดของพวกเขาต้องเสียดายที่ปล่อยเพชรเม็ดงามหลุดลอยไป"
ด้านนักเตะอย่าง มาดูเอเก้ ที่โดนปล่อยออกจาก สเปอร์ส ไปอยู่กับ พีเอสวี ตอนอายุ 19 ปี ยอมรับว่าชีวิตของเขาเปลี่ยนไปเลยเมื่อย้ายออก ตอนที่อยู่กับ สเปอร์ส เขาไม่เห็นโอกาสของตัวเอง คิดว่าตัวเองไม่มีค่าพอ แต่พอย้ายทีม พีเอสวี ให้เขาลงสนามทันที กลายเป็นตัวหลัก ขวัญใจแฟนบอล และนั่นสร้างความมั่นใจสำหรับเขาได้มาก จนเขาถูก เชลซี ซื้อตัวมาด้วยราคาถึง 30 ล้านปอนด์ ตอนที่เขาอายุ 21 ปี
"การย้ายออกมาเล่นนอกพรีเมียร์ลีก เป็นทางเลือกที่ดีมาก ๆ สำหรับนักเตะท้องถิ่นหลายคน โดยเฉพาะสำหรับผม ผมออกมาตั้งแต่อายุยังน้อย ได้เรียนรู้อะไรเยอะมาก เจอความท้าทาย เจอภาษาใหม่ ๆ วัฒนธรรมใหม่ ๆ และคุณจะเติบโตขึ้น"
"สิ่งสำคัญเลย เมื่อคุณได้โอกาสลงเล่น มันจะทำให้คุณเห็นคุณค่าของตัวเอง และเมื่อคุณมั่นใจ คุณจะกลายเป็นคุณคนใหม่ที่ดีกว่าเดิมได้" มาดูเอเก้ กล่าว
ในเรื่องราวของ จู๊ด เบลล์ มันค่อนข้างชัดว่ายากมากที่เขาจะเบียดเป็น 25 คนในทีมชุดใหญ่ของไก่เดือยทองได้ แต่เขาอายุ 20 ปีเท่านั้น มันเร็วไปที่จะบอกว่าเขาล้มเหลว นี่คือการก้าวถอยหลังก็จริง แต่เป็นการก้าวถอยหลังก้าวเล็ก ๆ เท่านั้น ซึ่งปลายทางของการถอย คือการไปข้างหน้าให้ไกลขึ้น ส่วนจะสำเร็จเหมือนกับนักเตะรุ่นพี่คนอื่น ๆ หรือไม่ เรื่องนี้ยังไม่สามารถตอบได้
เพราะนี่คือโอกาสสำคัญที่เขาจะพิสูจน์ตัวเอง เขาจะต้องพาตัวเองไต่กลับมายังจุดเดิมอีกครั้ง และในโลกแห่งความจริงไม่มีอะไรง่าย นี่คือโลกฟุตบอลที่ปลาใหญ่กินปลาเล็ก อายุไม่ได้สำคัญมากกว่าไปกว่าศักยภาพและประโยชน์ที่แสดงออกมาเพื่อทีม
ดังนั้นจุดเริ่มต้นของเขาคือการเอาทุกสิ่งที่ตัวเองมีออกมาใช้ที่ คอร์โดบา ทำให้โลกได้รู้ว่าจริง ๆ แล้ว จู๊ด เบลล์ เป็นนักเตะแบบใดกันแน่
บทความโดย : ชยันธร ใจมูล
โฆษณา