คอนเต้สไตล์ : วิธีชุบชีวิตแข้งตกกระป๋องจากพรีเมียร์ลีกให้เกิดใหม่ | Main Stand
สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ กำลังจะเป็นลูกทีมคนใหม่ของ อันโตนิโอ คอนเต้ ที่ นาโปลี และดีลนี้ชวนให้คิดตามหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือการซื้อนักเตะของ คอนเต้
ทำไมหลาย ๆ ดีลของเขา มักจะเป็นการหยิบจับนักเตะที่อาจจะถูกจัดในหมวดหมู่ "ตกกระป๋อง" จากพรีเมียร์ลีก เอามาเล่นในลีกที่ไม่น่าเหมาะกับสไตล์ของนักเตะเหล่านั้นอย่าง กัลโช่ เซเรีย อา
คอนเต้ คิดอะไร แล้วเอาพวกนี้มาใช้ทำอะไร ? ติดตามที่ Main Stand
เป็นคนแบบไหน ทำบอลแบบนั้น
"ตอนนักเตะเขาเป็นอย่างไร ฟุตบอลของ อันโตนิโอ คอนเต้ ตอนเป็นโค้ชก็ไม่ต่างกันนัก" จานลูก้า เปสซ็อตโต้ เพื่อนร่วมทีมของ คอนเต้ สมัยเล่นด้วยกันที่ ยูเวนตุส อธิบายสไตล์ฟุตบอลของคอนเต้อย่างชัดเจน
ตอนนักเตะเขาเป็นแบบไหน ? ... คอนเต้ เป็นกองกลางตัวรับหมายเลข 6 ยุคเก่า ที่ขยันขันแข็ง ไล่ตัดเกมด้วยการปะทะคู่แข่งไปทั่วสนาม ใส่เต็มดอกในจังหวะ 50-50 และถึงแม้จะตัวเล็ก แต่เมื่อลงเล่น เขาคุกคามคู่แข่งได้ราวกับตัวใหญ่สูง 190 เซนติเมตร
"ผมเริ่มเล่นฟุตบอลและจดจำตัวเองได้ครั้งแรกในบทบาทตัวสำรอง ... เมื่อผมอยู่บนม้านั่งสำรอง ผมคิดตาม และเข้าใจว่าผมยังขาดพรสวรรค์ แต่อย่างไรเสีย นักฟุตบอลไม่จำเป็นต้องมีแค่พรสวรรค์อย่างเดียว ผมสามารถวิ่ง ต่อสู้ คุกคามคู่แข่ง และเสียสละตัวเองเพื่อทีม นั่นคือสิ่งที่ผมทำได้ และผมคิดว่ามันเพียงพอกับนักฟุตบอลสไตล์ผม" คอนเต้ ที่เคยเป็นกัปตันทีม ยูเวนตุส ในช่วงปลายยุค 1990s กล่าว
ดังนั้นเมื่อ คอนเต้ เริ่มเป็นโค้ช การทำทีมและฟุตบอลของเขาจึงสะท้อนตัวตนของเขาสมัยเป็นนักเตะมาไม่มากก็น้อย ฟุตบอลที่อาศัยความแข็งแรงเป็นอย่างมาก ร่างกายของลูกทีม คอนเต้ นั้นต้องมีความฟิตเป็นอันดับแรก เล่นฟุตบอลแบบมีระเบียบวินัย สามัคคี และมีความเป็นทีมสูง
"คอนเต้ เป็นโค้ชที่มีแนวคิดชัดเจนมากที่สุดคนหนึ่ง คุณสามารถรับรู้ได้ว่าเขาไม่ใช่โค้ชที่เคยเป็นอดีตนักฟุตบอลธรรมดา ๆ เขาเป็นคนประเภทที่มีแนวทางของตัวเองมาตั้งแต่แรก และเขาจะถ่ายทอดสิ่งนั้นให้กับลูกทีมของเขา ซึ่งมันสำคัญมาก ๆ ถ้าลูกทีมของเขารับแนวคิดนี้ได้ คุณก็คงรู้ว่าคุณกำลังจะได้ทีมฟุตบอลที่มีคาแร็คเตอร์แข็งแกร่งมาก ๆ ทีมหนึ่ง" จอร์โจ้ เปรินเน็ตติ ผู้อำนวยการฝ่ายกีฬาของ เซียน่า หนึ่งในทีมเก่าของ คอนเต้ สมัยเริ่มเป็นโค้ชอธิบายเพิ่ม
เมื่อคุณอ่านทั้งหมด คุณก็จะเห็นภาพทันทีว่า ฟุตบอล คอนเต้ เป็นสไตล์ที่เถรตรงและชัดเจนแค่ไหน อีกทั้งนักเตะแบบไหนที่เหมาะกับฟุตบอลของเขา ไม่ใช่แค่แข็งแรงและมีความฟิตเท่านั้น แต่ต้องเป็นนักบอลที่มีหัวจิตใจใจห้าวหาญ และเป็นคนประเภทยอมเสียสละ เพื่อให้ทีมมาเป็นอันดับ 1 เสมอ
แม้จะมีที่ว่างให้กับนักเตะในประเภทพรสวรรค์สูง แต่พรแสวงต่ำบ้าง ทว่าส่วนใหญ่แล้ว นักเตะประเภทที่ถูกเรียกว่า "บอลทรงสวย" มักอยู่กับทีมของคอนเต้ ได้ไม่นานนัก และเรื่องนี้มันเป็นมาตั้งแต่สมัยที่เขาคุมทีมใหม่ ๆ แล้ว
ตัวอย่างเช่นครั้งหนึ่ง สมัยคุม อตาลันต้า คอนเต้ ได้จัดการกับ คริสเตียโน่ โดนี่ นักเตะตำแหน่งเพลย์เมคเกอร์หมายเลข 10 ทรงคลาสสิกในแบบที่ฟุตบอลยุคก่อนชอบ นั่นคือทรงสวย เซ้นส์สูง มีความเป็นศิลปิน แต่เป็นฟุตบอลแบบตามใจฉันเมื่อลงสนามจริง และเป็นพวกขี้เกียจเมื่ออยู่ในสนามซ้อม
โดนี่ โดน คอนเต้ ซัดออกสื่อว่า ไม่สามารถวิ่งได้มากพอ และไม่มีความตั้งใจเล่นตามมาตรฐานที่เขาต้องการ ... แน่นอนว่าการโจมตีตำนานของทีมขนาดนั้น ส่งผลให้ คอนเต้ โดนไล่ออก แต่เขาก็เปิดใจภายหลังว่า เขาไม่แคร์ที่จะต้องทำแบบนั้น เขาจะไม่เสียตัวตนและอ่อนข้อให้ใคร เพียงเพราะว่าสิ่งที่เป็นนามธรรมอย่างคำว่า "ตำนาน"
จากครั้งนั้นเองที่เป็นเหมือนบทเรียนสำคัญว่า เขาจะเอานักเตะแบบไหนมาอยู่ในทีม
DNA ของนักเตะอังกฤษ
"นักฟุตบอลอังกฤษไม่ใช่นักฟุตบอลที่เก่งกาจเหนือชั้นหรือเป็นโคตรบอลมาแต่ไหนแต่ไร คุณดูที่จำนวนแชมป์ก็ได้ อังกฤษได้แชมป์โลกตั้งแต่ปี 1966 ผ่านมาตอนนี้ก็จะ 60 ปีแล้ว นั่นคือสิ่งยืนยันได้เป็นอย่างดี แต่สิ่งนักเตะอังกฤษมีและเป็นสิ่งที่ชัดเจนในตัวของพวกเขามาก ๆ นั่นคือการเป็นนักเตะที่มีความเป็นนักสู้ บู๊แหลก แข็งแรง และไม่เคยกลัวการเข้าปะทะ"
"คุณจะเห็นภาพนักฟุตบอลอังกฤษปากแตก ฟันร่วง หัวแตก ต้องห้ามเลือดระหว่างแข่งเต็มไปหมด ผมว่านั่นแหละสะท้อนคาแร็คเตอร์ของพวกเขาที่แท้จริง" ชุมพตน์ ทรงสายสกุล หรือ "เม้ง ซัมเมอร์ฮิลล์" พูดถึงประโยคนี้บ่อย ๆ เมื่อเขาพยายามจำกัดความของนักฟุตบอลอังกฤษ หรือนักฟุตบอลที่เติบโตมากับฟุตบอลอังกฤษ
คำอธิบายของกูรูอย่าง ซัมเมอร์ฮิลล์ ช่วยให้เราเห็นภาพนักเตะอังกฤษ หรือนักเตะที่เติบโตและเล่นฟุตบอลที่อังกฤษนาน ๆ ได้เป็นอย่างดี คุณจะเห็นนักเตะประเภทนี้เต็มไปหมด เห็นภาพของพวกเขากับเลือดเปื้อนเสื้อ หัวแตก ฟันหลอ มากมาย ไบรอัน ร็อบสัน เล่นฟุตบอลจนได้รับฉายาว่า "กัปตันกระดูกเหล็ก" จากการเข้าปะทะแบบใส่เต็มดอกทุกครั้ง
ชัดเจนที่สุดคือภาพของ เทอร์รี่ บุทเชอร์ นักเตะทีมชาติอังกฤษ ที่เดินเลือดอาบเสื้อในเกมฟุตบอลโลก 1990 รอบคัดเลือก ระหว่าง อังกฤษ กับ สวีเดน ที่สตอคโฮล์มในปี 1989 ... นั่นคือภาพคลาสสิกที่สุดภาพหนึ่ง เพราะเสื้ออังกฤษสีขาวถูกย้อมด้วยเลือดสีแดงไปหมด แต่ บุทเชอร์ ก็ไม่ออกไปจากสนาม
"ผมเห็นเขาเป็นขนาดนั้น ผมเลยถาม เทอร์รี่ (บุทเชอร์) ว่า 'เป็นอะไรมากหรือเปล่า ?' เขาตอบกลับมาว่าไงรู้ไหม ... หุบปากไปเลยไอ้เวรแก๊ซซ่า กูไม่เจ็บสักนิด ไม่ต้องมาทำสำออยกับกูหรอก กูเล่นเพื่อชาติโว้ย" พอล แกสคอยน์ นักเตะในทีมชุดนั้นเปิดเผยประโยคสนทนาเบื้องหลังภาพถ่ายสุดคลาสสิกใบนี้
นั่นล่ะคือแบบอย่างนักฟุตบอลของอังกฤษในเรื่องของคาแร็คเตอร์ ซึ่งจะว่าตามตรง ในช่วงยุค 1980s หรือ 1990s ก็คงต้องบอกว่านักเตะอังกฤษมีดีที่จุดนี้เป็นหลัก แต่เรื่องความฟิต เรื่องวินัย ยังไม่ค่อยเท่าไรนัก ซึ่งปรากฏเห็นบ่อย ๆ ว่านักเตะในฟุตบอลอังกฤษยุคนั้น มักจะมีปัญหาเรื่องการดื่มกิน การสูบบุหรี่ อยู่บ่อย ๆ
เรื่องนี้เปลี่ยนไปค่อนข้างเยอะหลังจากฟุตบอลอังกฤษทำให้ตัวเองเป็นลีกอันดับ 1 ของโลกในแง่ของมูลค่า การเข้ามาของเงินมหาศาล และนักเตะกับโค้ชต่างชาติ เปลี่ยนแปลงนักเตะอังกฤษไปโดยปริยาย จำนวนนักเตะสายดื่มลดน้อยลงมาก แต่ละคนต้องมีวินัยเพื่อรักษาอาชีพของตัวเอง
เมื่อพวกเขามีความฟิตและวินัยเพิ่มเติมเข้ามา บวกเข้ากับคาแร็คเตอร์เข้ม ๆ ที่มีโดย DNA อยู่แล้ว นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ นักเตะอังกฤษในยุค 5-10 ปีหลังนี้โดนใจกุนซือสายบ้าพลังอย่าง คอนเต้ แบบสุด ๆ เพราะนักเตะประเภทนี้ตอบโจทย์ทั้งเรื่องของแท็คติก และคาแร็คเตอร์ของทีมที่เขาอยากจะได้
คนประเภทเดียวกันซื้อใจกันง่าย
คอนเต้ สมัยเป็นนักเตะเป็นอย่างไร เขาก็ต้องการนักเตะแบบนั้นในวันที่เขาเป็นโค้ช ... นั่นเป็นเหตุผลที่ทำไมเขาถึงชอบดึงตัวนักเตะจากพรีเมียร์ลีก ที่มี DNA ของฟุตบอลอังกฤษในตัวสูง
ในแง่ของแท็คติก 3-5-2 บอลของ คอนเต้ นั้น นักเตะจะต้องเคลื่อนที่เยอะมาก ใช้พลังในการไล่ล่าลูกฟุตบอลอย่างดุเดือด และแทบไม่มีใครได้ยืนขาตาย ทุกคนต้องออกวิ่งพร้อม ๆ กันตามแท็คติกเพรสซิ่งในแบบของเขา ซึ่งกว่าจะได้ร่างกายที่ทนทานขนาดนี้ ก็ต้องซ้อมหนักมาก ถ้าใครเห็นภาพการซ้อมของ คอนเต้ สมัยคุม สเปอร์ส คุณจะเห็นได้ว่ามีอยู่คลิปหนึ่งที่ แฮร์รี่ เคน ซ้อมวิ่งจนอ้วกแตก นอนแผ่หลาแทบลุกไม่ขึ้นมาแล้ว
ใครวิ่งไม่ได้ แรงไม่ดี โดนเอาออกหมด ยกตัวอย่างจากตอนที่ชัดที่สุด ที่เขาคุม อินเตอร์ มิลาน นักเตะตัวเก่งอย่าง เมาโร อิคาร์ดี้, รัดย่า เนียงโกลัน และ อิวาน เปริซิช ที่ประสบปัญหาปรับตัวเข้ากับระบบ 3-5-2 อยู่กันแทบไม่ได้
แอชลี่ย์ ยัง, วิคเตอร์ โมเซส, โรเมลู ลูกากู คือตัวอย่างที่ชัดเจนมาก นักเตะทั้ง 3 คนนี้ตอบโจทย์ทุกอย่างที่คอนเต้ ต้องการ พวกเขามีทั้งความใจสู้ มีพลังวิ่งขึ้นลง และสิ่งสำคัญคือเป็นนักเตะที่เขาสามารถสอนได้โดยตรง เรียกได้ว่าเป็นคนไทป์เดียวกันก็คงไม่ผิดนัก
นักเตะเหล่านี้โดนวิจารณ์แทบทุกสัปดาห์ตอนที่เล่นอยู่ในพรีเมียร์ลีก แต่พอมาอยู่ในมือของคอนเต้แล้ว ทั้งหมดนี้เก่งขึ้นอย่างน่าประหลายใจ แอชลี่ย์ ยัง จากปีกตกยุคกลายเป็นวิงแบ็กที่ทำแอสซิสต์ได้บ่อยครั้งกับ อินเตอร์ มิลาน ในยุคคอนเต้
วิคเตอร์ โมเซส ก็เป็นปีกระดับกลางค่อนล่างของพรีเมียร์ลีก แต่กลายเป็นวิงแบ็กขวาพลังไดนาโม ไม่มีใครผ่านได้ง่าย ๆ ขณะที่ ลูกากู ผู้โดนวิจารณ์แบบสาดเสียเทเสียชัดที่สุดตอนอยู่อังกฤษ ก็กลายเป็นเจ้าของดาวซัลโว กัลโช่ เซเรีย อา 2 สมัยในยุคของ คอนเต้
เขามีวิธีชุบชีวิตนักเตะเหล่านี้ที่สูญเสียความมั่นใจ ด้วยการมอบสิ่งที่พวกเขาไม่เคยได้ที่อังกฤษให้กับนักเตะเหล่านี้ และที่สำคัญ คอนเต้ ไม่ได้ซื้อพวกเขามาเพราะแค่ร่างกายหรือใจเท่านั้น แต่เพราะวิธีการเล่นของพวกเขาเหล่านี้ตอบโจทย์แท็คติกของเขาด้วย
"โค้ชที่ดี คือ คนที่สามารถพัฒนาผู้เล่นได้ และผมคิดว่าเราทำได้ดีมากกับ โรเมลู ในช่วงสองปีที่เขาอยู่กับเราที่ อินเตอร์ มิลาน" คอนเต้ ให้สัมภาษณ์กับสกาย อิตาเลีย ก่อนขยายความว่า เขาเองไม่ทำอะไรมากไปกว่าการเอาจุดแข็งของ ลูกากู ออกมาใช้งานให้มากที่สุดเท่านั้น
"เขาคือกองหน้าที่พิเศษ เเละอันตรายมาก ๆ ในกรอบเขตโทษ เเต่ถ้าคุณให้เขาทำงานผิดวิธี เขาจะไม่สามารถโชว์ผลงานออกมาได้ ... คุณต้องเอาความแข็งแรงของเขามาใช้ เรื่องนี้ผมมั่นใจว่าไม่มีใครเอาเขาอยู่ง่าย ๆ" นั่นคือสิ่งที่ คอนเต้ บอก
เช่นเดียวกับ แอชลี่ย์ ยัง และ โมเซส วิงแบ็ก 2 ฝั่งคู่บุญที่ คอนเต้ ใช้งานได้ถูกจุดตรงจริต โดยบอลจากเท้าของ ยัง ดูอันตรายมากเมื่อเล่น คอนเต้ ขณะที่เกมรับที่เคยเป็นปัญหาของ โมเซส ก็ถูกแก้ไขด้วยการพยายามเล่นให้เป็นทีม และให้ทุกคนในทีมช่วยกลบจุดด้อยให้กันและกัน จนจุดอ่อนของพวกเขาที่เคยมีอยู่มากตอนเล่นในอังกฤษ แทบไม่ปรากฏในตอนที่อยู่กับ อินเตอร์ เลย
"คอนเต้ คือโค้ชที่เรียกร้องจากคุณอย่างมากมายมหาศาล และคุณต้องพร้อมที่จะตอบสนองเขา ในตำแหน่งของผม (วิงแบ็ก) เขาบอกพวกเราเสมอว่า จงเล่นเกมรุกทุกครั้งเมื่อต้องทำ และจงเล่นเกมรับด้วยความแข็งขันทุกครั้งที่ถึงเวลาโดนบุก เขาต้องการพละกำลังและความเร็ว เราจะต้องวิ่งตลอดจนกว่าเกมจะจบลง" วิคเตอร์ โมเซส ว่าแบบนั้น
เหนือสิ่งอื่นใด นอกจากเรื่องของแท็คติกแล้ว การได้นักเตะที่มีคาแร็คเตอร์คล้าย ๆ กัน ทำให้ คอนเต้ ชุบชีวิตพวกเขาเหล่านี้ได้โดยใช้เวลาไม่นาน คอนเต้ อาจจะเป็นเจ้านายใจร้าย แต่ถ้าคุณเชื่อฟังและปฏิบัติตาม เขาก็จะใส่เต็ม 100% กับคุณเพื่อให้คุณเป็นนักเตะที่ดีขึ้น และคุยกันด้วยข้อเท็จจริงล้วน ๆ ทุกอย่างที่ออกจากปากเขาคือยาขม ที่จะให้ประโยชน์กับคุณแน่ถ้าคุณกินมันเข้าไป
โรเมลู ลูกากู คือ 1 ในนักเตะที่ยอมรับว่าพร้อมถวายหัวยอมทำงานหนักให้ คอนเต้ เเละสิ่งที่ คอนเต้ ทำกับ โรเมลู ลูกากู คือ เขาติวเข้ม ลูกากู อย่างหนัก ใส่ใจเเละพร่ำสอนทุกรายละเอียด ถึงวิธีการเล่นที่เขาต้องการให้ ลูกากู เล่น การพัฒนาในเรื่องวิธีการเล่นเเบบหันหลังให้ประตู ซึ่งกลายเป็นซิกเนเจอร์ของเขาตอนที่เล่นในอิตาลีไปแล้ว
"ผมพร้อมสู้ตายให้คนอย่าง คอนเต้ เขาเป็นคนที่บอกกับผมตรง ๆ ว่า ถ้าผมไม่ทำงานหนักในสนามซ้อม ผมก็จะไม่ได้ลงเล่น ดังนั้นผมจึงตั้งใจซ้อมมาก ๆ เรียนรู้วิธีการสอนของเขา หลัก ๆ แล้วเขาสอนแนวทางหลายอย่างที่สำคัญ ๆ เช่น การเล่นอย่างไรตอนที่ผมหันหลังให้ประตู" ลูกากู กล่าว
เช่นเดียวกับ โมเซส ที่พูดตรงกันว่า "คอนเต้ ช่วยให้ผมเชื่อมั่นในตัวเอง และมันเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่เกี่ยวกับเรื่องที่เขาหาตำแหน่งใหม่ให้ผมเป็นแบ็กขวา เรื่องมันง่าย ๆ แบบนั้นแหละ"
เห็นชัดว่า คอนเต้ มีฟุตบอลในแบบของเขา และมีนักเตะในสเป็กที่เขาต้องการ บางคนอาจจะไม่เก่งมาก แต่มีบางอย่างที่ตอบโจทย์กับแท็คติก และเหนือสิ่งอื่นใด ต้องเป็นนักฟุตบอลที่มีคาแร็คเตอร์ในแบบที่คล้ายกันกับเขา คนที่พร้อมเสียสละเพื่อทีม และคนที่พร้อมจะรับฟังคำติที่มีต่อข้อเสียของพวกเขาอย่างตรงไปตรงมา
การทุ่มเทในสนามฝึกซ้อม การถวายชีวิตในการแข่งขันจริง รวมถึงการเข้าถึงความเป็นมนุษย์เมื่ออยู่นอกสนาม ทั้งหมดนี้คือเบื้องหลังการชุบชีวิตนักเตะที่ล้มเหลวจากลีกอังกฤษของ คอนเต้ ... และตอนนี้คิวต่อไปคือ แม็คโทมิเนย์ ที่เราต้องมาดูกันว่าจะได้เห็นเขาเปลี่ยนเป็นร่างใหม่หรือไม่ ถ้าทำได้ มันก็ชัดเจนว่า คอนเต้ มีเวทมนตร์กับนักเตะประเภทนี้อย่างแท้จริง
บทความโดย : ชยันธร ใจมูล
- 3
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2024 Blockdit
