รวม 7 ไอเดีย เลือกอินฟลูเอนเซอร์ ช่วยแบรนด์ทำการตลาด ให้ไปได้ไกล จาก CMMU
ทุกวันนี้ Influencer Marketing ได้รับความนิยมจากแบรนด์ต่าง ๆ จำนวนมาก เพราะเห็นผลได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการสร้าง Brand Awareness, สร้างยอดขายสินค้า หรือทำให้เกิดการกลับมาซื้อซ้ำ
แต่ก็ไม่ใช่ว่ากลยุทธ์นี้จะได้รับผลตอบรับที่ดีเสมอไป เพราะบางครั้งแบรนด์ก็เลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่ไม่สอดคล้องกับสินค้าและบริการของตัวเองเช่นกัน
วิทยาลัยการจัดการมหาวิทยาลัยมหิดล หรือ CMMU จึงได้สรุป 7 ข้อสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำในการเลือกอินฟลูเอนเซอร์ให้กับแบรนด์ออกมาดังนี้
1. เลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่มีบุคลิกสอดคล้องกับแบรนด์
อินฟลูเอนเซอร์ก็เปรียบเสมือนตัวแทนของแบรนด์ การเลือกอินฟลูเอนเซอร์จึงต้องเลือกให้ไลฟ์สไตล์ บุคลิกภาพ และภาพลักษณ์ให้เหมาะสมกับสินค้าและบริการของแบรนด์
และมีแนวทางการสร้างคอนเทนต์ที่ตรงกับแบรนด์และกลุ่มเป้าหมาย
ตัวอย่างเช่น
สินค้าเพื่อสุขภาพ ก็ควรเลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่มีไลฟ์สไตล์ชอบออกกำลังกาย ชอบรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ และมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องเกี่ยวกับการออกกำลังกายและการดูแลตัวเอง
2. เลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่มีตัวตนชัดเจน โดดเด่น เป็นธรรมชาติ
ในสมัยนี้ การเป็นอินฟลูเอนเซอร์เป็นเรื่องที่ง่ายมากขึ้นจากการพัฒนาของเทคโนโลยี ทำให้มีการเลียนแบบทั้งสไตล์และแนวทางการทำคอนเทนต์
แบรนด์จึงควรเลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่มีความเป็นตัวของตัวเองชัดเจน และมีความเป็นธรรมชาติ
มีแนวทางการทำคอนเทนต์ที่แตกต่าง โดดเด่น ไม่เลียนแบบใคร
และถ้าอินฟลูเอนเซอร์เป็นผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในวงการเดียวกับสินค้าและบริการ ก็จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือกับแบรนด์มากขึ้นได้เช่นกัน
เช่น ใช้อินฟลูเอนเซอร์ที่เป็นนักถ่ายภาพมืออาชีพ มารีวิวสินค้าประเภทกล้อง
3. เลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่ทำคอนเทนต์ที่จริงใจ ไม่ใช่จงใจ
แบรนด์ควรเลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่เป็น “Creative Content Creator” คือ มีแนวทางการสร้างสรรค์ที่โดดเด่น แตกต่าง และมีสไตล์การเล่าเรื่องที่น่าดึงดูด น่าสนใจ
นอกจากนี้ แบรนด์ควรให้อิสระกับอินฟลูเอนเซอร์ในการสร้างสรรค์คอนเทนต์ตามแบบฉบับของตัวเอง เพื่อให้คอนเทนต์มีความจริงใจ เป็นธรรมชาติ ดูไม่ใช่การจงใจ และยัดเยียดการขายสินค้า
ซึ่งจะทำให้คอนเทนต์ดูมีความน่าเชื่อถือ และผู้ชมคล้อยตามได้ง่ายมากขึ้น
4. เลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่เข้าถึงง่าย มีปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้ติดตาม
จุดเด่นของ Influencer Marketing คือ “ความเข้าถึงง่าย” และ “เป็นการสื่อสารแบบ 2 ทาง” ลูกค้าจึงมีปฏิสัมพันธ์กับอินฟลูเอนเซอร์ได้แบบเรียลไทม์
นอกจากนี้ ผู้บริโภคยุคใหม่ยังชอบแสดงความคิดเห็น และมีส่วนร่วมกับคอนเทนต์ด้วย
ดังนั้น แบรนด์จึงควรเลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่มีความแอกทีฟ มีปฏิสัมพันธ์กับผู้ติดตามและลงคอนเทนต์อย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ ไม่น้อยหรือมากจนเกินไป
เพราะ จำนวนคอนเทนต์ที่มากเกินไปอาจสร้างความรำคาญให้ผู้ติดตาม ส่วนจำนวนคอนเทนต์ที่น้อยเกินไปอาจทำให้รู้สึกเกิดความขาดช่วง ไม่ต่อเนื่องได้
5. เลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่เป็นที่รัก เพราะความรักชนะทุกสิ่ง
แบรนด์ควรเลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่มีผู้ติดตามเหนียวแน่นและมี Loyalty สูง
เพราะไม่ว่าอินฟลูเอนเซอร์จะทำอะไร ผู้ติดตามก็จะมีความอยากเลียนแบบทำตาม หรืออยากใช้สินค้าเดียวกันกับอินฟลูเอนเซอร์ด้วย
ทำให้เป็นการการันตีได้ว่า สินค้าหรือบริการของแบรนด์จะได้รับผลตอบรับที่ดีตามไปด้วย
6. อย่ามองแค่ตัวเลขผู้ติดตาม
ถึงแม้ Macro Influencer และ Mega Influencer จะมียอดผู้ติดตามเป็นจำนวนมาก และสร้าง Brand Awareness และ Engagement ได้เป็นอย่างดี ทำให้คนเห็น และรู้จักสินค้ามากขึ้นเป็นวงกว้างได้
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า ทุกคนที่เห็นสินค้าของเราจะกลายมาเป้นลูกค้าตัวจริงที่ยอมเสียเงินซื้อสินค้า
โดยเฉพาะสินค้าที่มีราคาสูง มีความเฉพาะเจาะจง และต้องทำความเข้าใจก่อนซื้อ เช่น อสังหาริมทรัพย์ ประกันภัย และผลิตภัณฑ์ทางการเงิน
ดังนั้น แบรนด์จึงไม่ควรมองแค่จำนวนตัวเลขผู้ติดตามเพียงอย่างเดียว บางครั้ง Mico Influencer และ Nano Influencer อาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าก็ได้
โดยเฉพาะหากแบรนด์มีความต้องการสร้างยอดขายเพิ่มขึ้น เพราะอินฟลูเอนเซอร์ตัวเล็ก ๆ เหล่านี้ สามารถเข้าถึงผู้ติดตามได้ง่าย และมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ติดตามมากกว่า จึงมีความน่าเชื่อถือและดูเป็นธรรมชาติ
7. อย่าหลงทางเลือกตามกระแสมากไป
กระแสทุกวันนี้มาไวไปไวมาก แบรนด์จึงไม่ควรเลือกอินฟลูเอนเซอร์เพราะกระแสเพียงอย่างเดียว
เพราะบางคนดังเพียงชั่วข้ามคืน แต่เมื่อเวลาผ่านไปความนิยมก็ลดลงอย่างรวดเร็ว
หรือบางคนก็สร้างคอนเทนต์ตามกระแสโดยไม่สนใจความถูกต้องเหมาะสม
ดังนั้น การเลือกอินฟลูจึงควรดูให้รอบด้าน และมองในระยะยาว ให้เหมาะกับแบรนด์เรา ไม่ใช่กระแสเพียงอย่างเดียว
#InfluencerMarketing
- 1
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2024 Blockdit
