2 ต.ค. เวลา 03:30 • หุ้น & เศรษฐกิจ

ตอนนี้ หุ้นคิตตี้ ทำจุดสูงสุดใหม่ เป็นหุ้น 6 เด้ง ใน 5 ปี

ถ้าพูดถึงน้องหมีเนย Butterbear, น้องหมีหลากสี Care Bears หรือ หมูเด้ง ฮิปโปตัวน้อย ที่กำลังดัง หลายคนน่าจะรู้จักดี
แต่ถ้าพูดถึงคาแรกเตอร์ Hello Kitty หลายคนก็น่าจะลืมไปแล้ว เพราะถึงตอนนี้แมวคิตตี้ ก็เปิดตัวมานานกว่าครึ่งศตวรรษ
แต่รู้ไหมว่า ตอนนี้หุ้นของบริษัท Sanrio เจ้าของ Hello Kitty กำลังทำจุดสูงสุดใหม่ หุ้นเพิ่มขึ้นมา 5 เท่า ใน 5 ปี ก็คือกลายเป็นหุ้น 6 เด้งแล้ว
ความรุ่งเรืองที่กลับมาอีกครั้งของ Sanrio นั้น ทุกอย่างเริ่มต้นเมื่อมีการเปลี่ยน CEO..
Sanrio เปลี่ยน CEO แล้วมีอะไรดีขึ้น ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
หลายคนน่าจะรู้จักตัวการ์ตูน Hello Kitty แมวสีขาวติดกิ๊บสีแดง ที่ตอนนี้มีอายุกว่า 50 ปีแล้ว
โดยเจ้าของตัวการ์ตูนตัวนี้ก็คือ บริษัท Sanrio จากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งนอกจากแมวคิตตี้แล้ว Sanrio ก็ยังมีคาแรกเตอร์หน้าตาน่ารักอีกมากมาย เช่น
- Pompompurin หมาโกลเดนรีทรีฟเวอร์สีเหลือง
- Cinnamoroll หมาน้อยสีขาว
- Gudetama ไข่ขี้เกียจ
หลายคนอาจจะคิดว่า คาแรกเตอร์พวกนี้อาจจะเป็นกระแสแค่ชั่วคราว หรือบางตัวน่าจะตกยุคไปแล้ว
แต่จริง ๆ มันยังไม่ได้หายไปไหน
และยังทำเงินให้กับบริษัท Sanrio ปีละหลายพันล้านบาท
ทั้งจากการขายผลิตภัณฑ์, การเก็บค่าสิทธิ (Royalty) ไปจนถึงสวนสนุกที่เต็มไปด้วยตัวละครของ Sanrio อย่าง Sanrio Puroland และ Harmonyland ที่ประเทศญี่ปุ่น
หากเราลองมาดู สัดส่วนรายได้ของ Sanrio จะพบว่า
- ขายสินค้า 46.6%
- ค่าลิขสิทธิ์ 39.8%
- สวนสนุก 12.8%
- รายได้อื่น 0.8%
เรื่องนี้มีจุดน่าสนใจ 2 จุด ที่เกี่ยวข้องกัน
จุดแรกคือ ทั้งรายได้และกำไร ของบริษัท เพิ่งทำจุดสูงสุดใหม่ จนทำให้มูลค่าบริษัทของ Sanrio ทำจุดสูงสุดใหม่เช่นเดียวกัน
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2020 คุณ Shintaro Tsuji ผู้ก่อตั้ง ประกาศลงจากตำแหน่งตอนอายุ 92 ปี
และตัดสินใจส่งไม้ต่อให้คุณ ​​Tomokuni Tsuji หลานชายของเขาเอง
โดยสิ่งที่คุณ Tomokuni Tsuji เข้ามาเปลี่ยนแปลง ก็คือ ทิศทางของบริษัท ที่เน้นไปที่การทำการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ และโซเชียลมีเดียมากขึ้น
รวมถึงเพิ่มช่องทางการขายบนอีคอมเมิร์ซ ทำให้ลูกค้าเข้าถึงสินค้าได้ง่ายขึ้นในต้นทุนที่ต่ำลง พร้อมกับหันไปโฟกัสกับธุรกิจขายลิขสิทธิ์มากขึ้น
1
ซึ่งเรื่องนี้ ก็คือเรื่องน่าสนใจจุดที่ 2 เพราะรายได้จากการขายลิขสิทธิ์ ถือเป็นจุดแข็งของบริษัท
เพียงแค่ Sanrio ให้สิทธิ์คนอื่นเอาตัวละครไปใช้ หรือไปแปะบนสินค้า โดยที่ Sanrio ไม่ต้องผลิตสินค้าขายเอง ทำให้รายได้ตรงนี้แทบไม่มีต้นทุน และไหลลงมาเป็นกำไรเกือบทั้งหมด
นอกจากนี้ การเปิดเมืองหลังวิกฤติโรคระบาด ทำให้คนใช้จ่ายกันมากขึ้น หลังจากอัดอั้นในช่วงปิดเมืองกันมานาน
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ก็คือ ธุรกิจสวนสนุกของ Sanrio ที่ตอนนี้แม้ยอดคนเข้าชมจะยังกลับมาไม่เท่าตอนก่อนเกิดวิกฤติโรคระบาด แต่ยอดใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวดันทะลุปรอทไปแล้ว
ปี 2019
- จำนวนนักท่องเที่ยว 1.932 ล้านคน
- รายได้จากสวนสนุก 2,170 ล้านบาท
ปี 2024 (ปิดสมุดบัญชี เดือนมีนาคม 2024)
- จำนวนนักท่องเที่ยว 1.890 ล้านคน
- รายได้จากสวนสนุก 3,210 ล้านบาท
จุดเปลี่ยนตรงนี้ก็เลยทำให้ทั้งรายได้และกำไร ของบริษัททำจุดสูงสุดใหม่ขึ้นมา
ปี 2022 รายได้ 12,000 ล้านบาท กำไร 779 ล้านบาท
ปี 2023 รายได้ 16,500 ล้านบาท กำไร 1,900 ล้านบาท
ปี 2024 รายได้ 22,800 ล้านบาท กำไร 4,000 ล้านบาท
จะเห็นว่าการเน้นขายลิขสิทธิ์มากขึ้น ซึ่งเป็นรายได้ที่ไม่มีต้นทุน ทำให้อัตรากำไรของบริษัทสูงขึ้น จาก 6.5% ในปี 2022 มาเป็น 17.5% ในปี 2024
มาถึงตรงนี้ ก็ต้องบอกว่า ผลประกอบการที่สวยหรูของหุ้นคิตตี้ จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าไม่มี CEO ที่ใช่ ซึ่งรู้ว่าจุดแข็งของบริษัทคืออะไร บริษัทมีดีอะไร และสามารถกำหนดทิศทางกลยุทธ์ที่ถูกต้องให้กับธุรกิจได้ พร้อมกับใช้ทรัพยากรของบริษัทได้อย่างเต็มศักยภาพ
เพราะ CEO ที่ดี จะสามารถพาทั้งบริษัท พนักงาน ผู้ถือหุ้น หลุดจากวิกฤติ
และก้าวไปสู่จุดสูงสุดใหม่ของบริษัทอยู่เสมอ..
โฆษณา